วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

ภูเขาที่สูงที่สุดในเเต่ละทวีป

7 อันดับภูเขาที่สูงที่สุดในโลก
1.ยอดเขาเอเวอร์เรส

เป็นยอดเขาหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งเกิดจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกยูเรเซียนและแผ่นเปลือกโลกอินเดีย ในทางภูมิรัฐศาสตร์ ยอดเขาเอเวอเรสต์ถือเป็นจุดแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศเนปาลและทิเบต โดยชาวเนปาลเรียกยอดเขาเอเวอเรสต์ว่า สครมาถา (ภาษาสันสกฤต: सगरमाथा หมายถึง หน้าผากแห่งท้องฟ้า) ส่วนชาวทิเบตขนานนามยอดเขาแห่งนี้ว่า โชโมลังมา (จากภาษาจีน: 珠穆朗玛 [จูมู่หลั่งหม่า] หมายถึง มารดาแห่งสวรรค์)
ชื่อยอดเขาเอเวอเรสต์นั้น ตั้งโดย เซอร์แอนดรูว์ วอ นักสำรวจประเทศอินเดียชาวอังกฤษ เพื่อเป็นเกียรติแก่ เซอร์จอร์จ อีฟเรสต์ นักสำรวจประเทศอินเดียรุ่นก่อนหน้า (คำว่า Everest นี้ คนส่วนมากอ่านออกเสียงเป็น เอเวอเรสต์ ขณะที่เซอร์จอร์จอ่านออกเสียงชื่อสกุลของตัวเองว่า อีฟเรสต์) ซึ่งก่อนหน้านั้นนักสำรวจเรียกยอดเขาแห่งนี้เพียงว่า ยอดที่สิบห้า (Peak XV)
คนทั่วไปจดจำชื่อเอเวอเรสต์ได้ในฐานะยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก แต่สำหรับชาวเชอร์ปา (Sherpa) และนักปีนเขา (climber) บางคนแล้ว ยอดเขาเอเวอเรสต์ไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดที่สูงที่สุดบนพื้นโลกเท่านั้น หากยังเป็นจุดหมายสูงสุดในชีวิตพวกเขาด้วย การไปให้ถึงยอดเขาเอเวอเรสต์เป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่เมื่อยอดเขาเอเวอเรสต์ถูกพิชิตได้ นั่นหมายความว่าขีดจำกัดของมนุษยชาติได้เพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว
Sagarmatha ck Oct18 2002.jpg

2.เทือกเขาเเอนดีส
เทือกเขาแอนดีส เป็นเทือกเขาที่วางตัวขนานกับด้านตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ เป็นเทือกเขาที่ยาวที่สุดในโลก พาดผ่าน 6 ประเทศตั้งแต่ โคลัมเบียเอกวาดอร์ เปรู โบลิเวีย อาร์เจนตินา และ ชิลี เทือกเขาเกิดจากแนวรอยปะทะกันของแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่นปะทะกันเป็นเวลานานหลายล้านปี โดยแผ่นเปลือกโลกอเมริกาใต้กดทับแผ่นเปลือกโลกนาซกา โดยแนวเทือกเขาแอนดิสจะมีความสูงขึ้นเรื่อยๆทุกปีและมียอดเขาที่สูงที่สุดคือ ยอดเขา อะคองกากัวเทือกเขาแอนดิสบริเวณประเทศโบลิเวียมีที่ราบสูงที่ชาวโบลีเวียเรียกว่า อัลติพลาโน(altiplano) หรือที่ราบสูงโบลิเวีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงของประเทศโบลิเวียชื่อเมืองลาปาซซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากที่สุดในโลก และบริเวณที่ราบสูงโบลิเวียนี้ก็เป็นที่ตั้งของทะเลสาบติติกากาซึ่งตั้งอยู่พรมแดนระหว่างประเทศเปรูกับประเทศโบลิเวียและได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลมากที่สุดในโลกด้วย แนวเขาในเขตประเทศเปรูเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำอเมซอนที่ความยาวเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากแม่น้ำไนล์ บริเวณตอนใต้ของเทือกเขาแอนดิสเป็นที่ราบเชิงเขาอยู่เขตรอยต่อระหว่างประเทศอาร์เจนตินากับประเทศชิลี และเรียกบริเวณนั้นว่าที่ราบสูงปาตาโกเนีย
 


3.ยอดเขาเเมกคินลีย์
ยอดเขาแมกคินลีย์ (อังกฤษMount McKinley) ตั้งอยู่ในรัฐอะแลสกา สหรัฐอเมริกา อยู่ในแนวเทือกเขาอะแลสกา ซึ่งเป็นแนวต่อเนื่องมาจากแนวเทือกเขาร็อกกี เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ สูงถึง 6,194 เมตร จากระดับน้ำทะเล ยอดเขาแห่งนี้เป็นจุดเด่นกลางอุทยานแห่งชาติดีนาลิด้วย




4.ยอดเขาคิลิมันจาโร

ยอดเขาคิลิมันจาโร (Mount Kilimanjaro) ชื่อภูเขามาจากภาษาสวาฮีลี หมายความว่า"ภูเขาที่ทอแสงแวววาว" ยอดเขาคิลิมันจาโรตั้งอยู่ในเขตประเทศแทนซาเนียใกล้พรมแดนประเทศเคนยา ลักษณะเป็นภูเขาไฟยอดเดี่ยวที่สูงที่สุดในโลก และเป็นยอดเขาที่สุดที่สุดในทวีปแอฟริกาอีกด้วย มีความสูงกว่า 5,895 เมตร ตรงบริเวณยอดเขามียอดเขาด้วยกัน 5 ยอด เรียงตามลำดับความสูง คือ
  • ยอดคีโบ เป็นยอดที่สูงที่สุดในแอฟริกา มีความสูง 5,895 เมตร มีโพรงลึกเป็นรูปกรวยลึกถึง 113 เมตร (370 ฟุต) แนวลึกด้านตรง 122 เมตร (400 ฟุต) มีร่องรอยของการคุกกร่น ไม่หมดเชื้อ คือยังควันปรากฏกลิ่นกำมะถันอยู่
  • ยอดมาเวนซี มีความสูง 5,353 เมตร อยู่ติดกับยอดคีโบ รูปกรวยของยอดมาเวนซี ได้ถูกตบแต่งให้เป็นขั้นเป็นหลืบชั้น สำหรับให้นักไต่เขาได้ฝึกความชำนาญ
  • ยอดชีรา มีความสูง 3,778 เมตร
  • ยอดกากา มีความสูง 458 เมตร
  • ยอดชี มีความสูง 78 เมตร
บริเวณฐานเขามีความยาวกว่า 100 กิโลเมตร และกว้างถึง 75 กิโลเมตร เป็นภูเขาไฟที่ดับแล้ว บริเวณยอดเขามีธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ยาวกว่า 4,500 เมตร เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา และเป็นเพียงภูเขาไม่กี่ลูกในแอฟริกาที่มีธารน้ำแข็ง โดยเฉพาะภูเขาที่ใกล้กับเส้นศูนย์สูตรจะหาได้น้อยมากที่จะมีธารน้ำแข็งแบบเดียวกันนี้
ยอดเขาคิลิมันจาโรได้กำเนิดขึ้นเมื่อหลายล้านปีที่แล้ว โดยมีการคาดการณ์ว่าเคยเกิดระเบิดใหญ่ถึง 3 ครั้ง จึงทำให้มียอดเขา 3 ลูกดังที่กล่าวข้างต้น ถูกค้นพบครั้งแรกโดย โยฮาน เรบมัน และลุดวิก คราปฟ์ หมอสอนศาสนา ชาวเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1848


5.ยอดเขาเอลบรุส
ยอดเขาเอลบรุส (รัสเซียЭльбрус) เป็นยอดเขาที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาคอเคซัส ทางตะวันตกของประเทศรัสเซียใกล้กับชายแดนประเทศจอร์เจีย เป็นภูเขาไฟที่สงบมาแล้วประมาณ 2,000 ปี มียอดสูงสุดสองยอด ยอดทางทิศตะวันตก ชื่อเอลบรุส มีความสูง 5,642 เมตร อยู่ในเขตทวีปยุโรป ส่วนยอดทางทิศตะวันออก มีความสูงน้อยกว่าเล็กน้อย ที่ 5,621 เมตร อยู่ในเขตทวีปเอเชีย
ยอดเขาเอลบรุส จัดเป็นภูเขา และภูเขาไฟที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป และเป็นหนึ่งใน Seven Summits และ Volcanic Seven Summits

Mount Elbrus May 2008.jpg


6.ยอดเขาวินสันเเมสซิฟ
ยอดเขาวินสันแมสซิฟ (Vinson Massif) ตั้งอยู่ในทวีปแอนตาร์กติกาห่างจากจุดขั้วโลกใต้ประมาณ 1,200 กิโลเมตร เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในทวีปแอนตาร์กติกา ด้วยความสูงกว่า 4,892 เมตร


7.ยอดเขาปุนจักจายา
ยอดเขาปุนจักจายา (Puncak Jaya, ออกเสียง /ˈpʊntʃak ˈdʒaja/) เดิมชื่อว่า ยอดเขาคาร์สเทนซ์ (Carstensz) ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะนิวกินี ในเขตประเทศอินโดนีเซีย เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเขตโซนโอเชียเนียและสูงที่สุดบนเกาะนิวกินี มีความสูง 4,880 เมตร ซึ่งบนยอดเขายังปกคลุมไปด้วยหิมะและมีธารน้ำแข็งอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2557

พระเจ้าฟารูกที่ 1 แห่งอียิปต์




พระเจ้าฟารูกที่ 1 แห่งอียิปต์ ประสูติเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1920พระองค์เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าฟูอัดที่ 1 แห่งอียิปต์และสมเด็จพระราชินีนาซลีแห่งอียิปต์ โดยพระองค์นั้นมีศักดิ์เป็นโหลนของมูฮัมหมัด อาลี ปาชา วาลิแห่งอียิปต์และซูดาน ต้นพระราชวงศ์มูฮัมหมัดอาลี ซึ่งมีเชื้อสายแอลเบเนียส่วนโดยส่วนพระเจ้าฟารูกเอง พระองค์มีเชื้อสายอียิปต์ และฝรั่งเศสจากพระราชมารดา โดยก่อนที่พระราชบิดาจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยวูลวิชสหราชอาณาจักร เมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 16 พรรษา และต่อมาเมื่อพระองค์มีพระชนมายุ 17 พรรษา จึงมีพิธีสวมมงกุฎขึ้น[3]พระราชบิดาของพระองค์ได้เสด็จสวรรคต โดยในพระราชพิธีสวมมงกุฎของพระองค์ พระองค์ได้มีพระราชดำรัสแก่ประชาชนด้วย พระองค์สามารถรับสั่งเป็นภาษาอาหรับภาษาตุรกี ภาษาอิตาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย ภาษาเยอรมันและภาษาสเปน
พระองค์มีวิถีชีวิตที่น่าลุ่มหลงฟุ่มเฟือยฟู่ฟ่า พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ในดินแดนที่ยิ่งใหญ่ พระราชวัง 12 แห่ง รถยนต์พระที่นั่งกว่า 100 คัน และพระองค์ยังโปรดเสด็จประพาสดินแดนยุโรปอย่างเกษมสำราญอยู่บ่อยๆ จึงสร้างความไม่พอใจในหมู่ไพร่ฟ้าประชาชนทั่วไปเป็นจำนวนมาก
เมื่อพระเจ้าฟารูกขึ้นครองราชย์ พระองค์ได้ปลุกใจแก่ประชาชนชาวอียิปต์ได้เนื่องจากพระองค์มีเชื้อสายอียิปต์จากพระมารดา แม้พระราชวงศ์จะมาจากเชื้อสายแอลเบเนีย แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของพระองค์นั้นถือว่าวิกฤต เนื่องจากพระองค์ยังไม่มีความพร้อมในการปกครอง และเห็นได้ว่าพระองค์ได้มีความเห็นไม่ลงรอยกับผู้อื่นทั้งหมดในขณะขึ้นครองราชบัลลังก์

ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง[แก้]

ในระหว่างช่วงทุกข์ยากของสงครามโลกครั้งที่ 2 พระองค์ถูกเพ่งเล็งในเรื่องของการใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย พระองค์ได้พิพากษาคดีที่พระราชวังในเมืองอเล็กซานเดรียของพระองค์ถูกเผา ในขณะที่พลเมืองกำลังอยู่อย่างสิ้นหวัง เนื่องจากอิตาลีและเยอรมันได้ทิ้งระเบิดทำลาย แต่พระเจ้าฟารูกคิดว่าเป็นการกระทำของคนกลุ่มอื่น ในขณะนั้นอังกฤษได้เริ่มกลับมายึดครองดินแดนอียิปต์อีกครั้ง ชาวอียิปต์จำนวนมากพร้อมด้วยพระเจ้าฟารูก ซึ่งได้พยายามโน้มน้าวเยอรมันและอิตาลีให้ทำการช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามชาวอังกฤษที่พำนักในอียิปต์ก็วางตัวเป็นกลาง จนกระทั่งสิ้นสุดยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 พระเจ้าฟารูกเป็นผู้ที่มีความเห็นใจเข้าข้างฝ่ายอักษะ ได้กล่าวต้นรับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ผู้นำพรรคนาซี ทั้งที่อยากจะมาบุกรุกอียิปต์ แต่พระเจ้าฟารูกได้เปิดเผยตัวเป็นฝ่ายอักษะภายใต้การกดดันอย่างหนักของอังกฤษเป็นเวลานาน ใน ค.ศ. 1945หลังจากการต่อสู้ในทะเลทรายได้สิ้นสุดลง

การล้มล้างราชบัลลังก์[แก้]

พระเจ้าฟารูกแห่งอียิปต์
ในช่วงสงครามปาเลสไตน์ซึ่งเป็นการสู้รบระหว่างยิวและอาหรับ อียิปต์ได้เข้าร่วมสงครามในนามของชาติสันนิบาตอาหรับจึงสร้งความไม่พอใจแก่อังกฤษ ทางอังกฤษจึงได้ให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านพระเจ้าฟารูกในการล้มล้างพระราชบัลลังก์ ในช่วงนี้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงในเหล่าข้าราชการ บางพวกใช้อำนาจหน้าที่ของตนสร้างความร่ำรวยแก่ตนเอง ขณะที่เหล่าราษฎรอยู่อย่างยากลำบาก แต่ราชสำนักและเหล่าข้าราชการกลับใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือย
พระเจ้าฟารูกได้รับการดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในเรื่องของการปกครองที่ไม่ได้ผล ประกอบกับการเข้ามาปกครองอีกครั้งของอังกฤษ รวมไปถึงการเสียดินแดนปาเลสไตน์ให้แก่อิสราเอลถึงร้อยละ 78 ในสงครามอาหรับ-อิสราเอล ค.ศ. 1948ทำให้เหล่าพสกนิกรต่างไม่พอใจในการปกครองของพระเจ้าฟารูก ท้ายที่สุดในวันที่ 23 กรกฎาคม ค.ศ. 1952 กลุ่มขวนการ Free Officers Movement ภายใต้การนำของมูฮัมเหม็ด นาจีบ และกาเมล อับเดล นัสซอร์ ได้กระทำการรัฐประหารใน ค.ศ. 1952โดยบังคับให้พระองค์สละราชสมบัติ และเสด็จลี้ภัยไปยังประเทศโมนาโก และประเทศอิตาลีทันทีทันใดหลังจากการสละราชสมบัติของพระเจ้าฟารูก ก็ได้มีการยกเจ้าชายอาเหม็ด ฟูอัด พระราชโอรสของพระเจ้าฟารูกที่ยังเป็นทารกอยู่เสด็จขึ้นครองราชย์ขึ้นเป็น พระเจ้าฟูอัดที่ 2 แห่งอียิปต์ แต่เมื่อครองราชย์ได้ 324 วัน ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ จึงเป็นอันสิ้นสุดการปกครองภายใต้ราชวงศ์มูฮัมหมัดอาลี

ชีวิตหลังการสละราชสมบัติและการสวรรคต[แก้]

หลังจากเสด็จลี้ภัยจากประเทศอียิปต์แล้ว พระองค์ได้เข้าไปพำนักในประเทศโมนาโกโดยพระองค์ได้ถูกถอดสัญชาติอียิปต์โดยสหพันธ์สาธารณรัฐอาหรับ[4]แต่ภายหลังพระองค์ได้รับพระราชทานสัญชาติโมนาโกจากเจ้าชายเรนิเยที่ 3 องค์อธิปัตย์แห่งโมนาโก ซึ่งเป็นพระสหาย[5]และภายหลังได้เข้ามาพำนักในกรุงโรม ประเทศอิตาลี โดยพระองค์ได้รับเป็นพลเมืองของโมนาโก พระองค์มีปัญหาเกี่ยวกับการเสวยอาหาร จนทำให้มีพระวรกายใหญ่ และมีพระน้ำหนักเกือบ 300 ปอนด์ (136 กิโลกรัม) ในที่สุดพระองค์ก็เสด็จสวรรคตในภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสแห่งหนึ่งในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ 18 มีนาคม ค.ศ. 1965ขณะที่พระองค์กำลังเสวยพระกระยาหารมื้อใหญ่[6] โดยที่พระองค์ได้ทรุดพระองค์ และสวรรคต แม้ว่าหน่วยข่าวกรองบางส่วนของอียิปต์คิดว่าเป็นการวางยาพิษลอบปลงพระชนม์ เนื่องจากไม่มีการตรวจชันสูตรพระศพ รวมไปถึงมื้อกระยาหารเหล่านั้นด้วย[7] โดยงานพระศพของพระองค์นั้นตามเดิมต้องจัดที่มัสยิดอัลริฟะอี (Al-Rifa'i Mosque) กรุงไคโร ประเทศอียิปต์แต่การขอร้องถูกปฏิเสธโดยทางการอียิปต์ ซึ่งนำโดยนายกาเมล อับเดล นัสซอร์ พระศพของพระเจ้าฟารูกจึงถูกฝังในประเทศอิตาลีเอง เจ้าชายไฟซาลแห่งซาอุดิอาระเบีย (พระยศในขณะนั้น) จึงได้โปรดให้ทำการฝังพระเจ้าฟารูกในประเทศซาอุดิอาระเบีย เมื่อประธานาธิบดีนัสซอร์เห็นเช่นนั้น จึงได้ให้นำพระศพมาฝังยังประเทศอียิปต์ ณ มัสยิดอัลริฟะอี

อภิเษกสมรส[แก้]

พระเจ้าฟารูกที่ 1, พระราชินีฟารีดา และเจ้าหญิงฟาริยัล ในปี ค.ศ. 1940
พระเจ้าฟารูกที่ 1 แห่งอียิปต์ โดยครั้งแรกพระองค์ได้มีความสัมพันธ์กับ บาร์บารา สเกลตัน นักเขียนชาวอังกฤษ ท่ามกลางเสียงคัดค้าน ทั้งสองจึงไม่ได้แต่งงานกัน พระเจ้าฟารูกจึงได้ทำการอภิเษกสมรสอย่างเป็นทางการ 2 ครั้ง ดังต่อไปนี้

ผู้ที่อ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพระเจ้าฟารูก[แก้]

เครื่องราชอิสริยาภรณ์[2][แก้]

พระเจ้าฟารูกแห่งอียิปต์