วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

รูปปั้นพระเยซู "King of Kings" ที่ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ถูกฟ้าผ่า

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 15 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น ได้เกิดเหตุฟ้าผ่ารูปปั้นพระเยซูคริสต์สีขาว ที่มีชื่อว่า คิง ออฟ คิงส์? ขนาดความสูงเกือบ 19 เมตร หรือเท่ากับตึก 6 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบด้านนอกโบสถ์โซลิด ร็อก ในเมืองมอนโร รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา
โดยเพลิงได้ลุกไหม้ขึ้นหลังจากถูกฟ้าผ่า หลือเพียงโครงและเถ้าถ่านเท่านั้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 22.4 ล้านบาท
รายงานระบุว่า บรรดาคริสต์ศาสนิกชนซึ่งเป็นสมาชิกโบสถ์ต่างเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะรูปปั้นดังกล่าวเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน ขณะที่หลายคนบอกว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นความประสงค์ของพระเจ้า

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ร้านอาหารท่ามกลางน้ำตกในฟิลิปปินส์

ร้านอาหารละอองน้ำตกแห่งนี้ อยู่ในรีสอร์ทชื่อว่า วิลล่า เอสคูเดโร รีสอร์ท (Villa Escudero resort) เมืองซาน พาโบล ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นร้านที่คุณจะได้เพลิดเพลินกับอาหารท้องถิ่นแสนอร่อยพร้อมเสิร์ฟ ที่มีฉากหลังเป็นน้ำตกอันสวยสดงดงามที่ไหลเทลงมาสู่พื้นเบื้องล่าง และนักท่องเที่ยวที่มายังได้สัมผัสกับน้ำเย็นที่ไหลผ่านเท้ามาอีกด้วย โดยที่ทางร้านได้สร้างโต๊ะทานอาหารขึ้นมาจากไม้ไผ่ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศรอบข้าง ที่โอบล้อมด้วยต้นไม้อันเขียวชะอุ่มตามแนวร้าน เอาใจแขกผู้มาเยือนและทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างเต็มที่ แต่ขอบอกก่อนว่า ร้านอาหารแห่งนี้จะเปิดให้เข้าไปทานในช่วงมื้อกลางวันเท่านั้น





วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

15 ผลไม้ต้านมะเร็ง โรคร้ายที่ผลไม้เอาอยู่

1. ทับทิม
            ทับทิมไม่ได้มีแค่ไฟโตนิวเทรียนต์เท่านั้น แต่ยังพกกรดเอลลาจิก (Ellagic Acid) ซึ่งเป็นกรดที่ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ รวมทั้งยับยั้งการขยายของเซลล์ผิดปกติที่อาจจะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (National Cancer Institute) ยังบอกเพิ่มเติมด้วยว่า สารเอลลาจิกในทับทิม สามารถป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกของผู้หญิงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว รู้อย่างนี้แล้วสาว ๆ อยากจะกินทับทิมกันแล้วใช่ไหมจ๊ะ
2. มะขามป้อม
             จากข้อมูลของมูลนิธิหมอชาวบ้าน เราก็พบว่า มะขามป้อมเป็นผลไม้อีกชนิดที่มีกรดเอลลาจิก (Ellagic Acid) แฝงอยู่ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมีวิตามินสูงมาก จนเกือบจะเป็นราชาผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีเลยทีเดียวล่ะ แถมยังพ่วงกรดฟิลเลมลิก (Phyllemblic Acid) และสารฟีนอล (Phenols) มาเป็นเพื่อนด้วย ซึ่งก็หมายความว่า มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยป้องกันมะเร็งกับเขาได้เหมือนกันนั่นเองค่ะ
3. มันเทศ (Sweet Potato)
            
          ในที่นี้อาจจะรวมไปถึงมันฝรั่งพันธุ์ต่าง ๆ ด้วยนะคะ ที่ศูนย์มันฝรั่งระหว่างประเทศ (The International Potato Center : CIP) เขายืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า มันฝรั่งเกือบทุกชนิดมีคุณสัมบัติป้องกันมะเร็งได้ 

          โดยอธิบายว่า มันฝรั่งอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, วิตามินเอ, วิตามินซี, ไรโบฟลาวิน (วิตามินบีชนิดหนึ่ง), กรดโพลีฟีนอล แอนตี้ออกซิแดนท์ คาเฟอิก (Polyphenol Anti-oxidants Caffeic Acid) และกรดคาเฟโออิวควินิก (Caffeoylquinic Acid) ซึ่งช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รวมทั้งลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม
4. มะละกอ
          ผลมะละกอดิบมีวิตามินเอ และสารเบต้าเคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและช่วยต้านโรคมะเร็ง อีกทั้งยังมีวิตามินซี, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, และเหล็กซึ่งช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัด โรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟันและใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์พาเพน ซึ่งสามารถนำมาเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อย รวมทั้งช่วยกระตุ้นน้ำนมสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดอีกด้วย

          แต่ที่น่าสนใจก็คือ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลอริด้า ได้ทำการศึกษาและพบว่า คุณประโยชน์เหล่านี้ในผลมะละกอไม่ว่าจะดิบ หรือสุก สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก หรือเซลล์ผิดปกติที่ทำท่าว่าจะเป็นเซลล์ก่อมะเร็ง ที่สำคัญยังเจ๋งขนาดป้องกันได้ทั้งมะเร็งปากมดลูก, มะเร็งเต้านม, มะเร็งตับ และมะเร็งตับอ่อนเลยทีเดียวนะจ๊ะ
5. แก้วมังกร
          ผลไม้ไทย ๆ อย่างแก้วมังกร มีสารต้านมะเร็งกับเขาด้วย แต่ทั้งนี้ผลการศึกษาจากศูนย์วิจัยสารต้านอนุมูลอิสระก็แนะนำว่า สารสกัดจากเปลือกแก้วมังกรสีสด ๆ มีศักยภาพในการป้องกันมะเร็งดีกว่าการรับประทานผลสดซะอย่างนั้น แต่อย่างไรก็แล้วแต่ การรับประทานแก้วมังกรเป็นประจำก็สามารถป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด และช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายเราได้เป็นอย่างดีอยู่แล้วเนอะ
6. มังคุด
          มังคุดเป็นผลไม้สัญชาติไทยแท้ที่หากินได้ง่ายในบ้านเรา ซึ่งผลการวิจัยโดย Current Molecular Medicine ก็บอกข่าวดีกับเราว่า ในมังคุดมีสารต้านเซลล์มะเร็งที่น่าสนใจนั่นก็คือ สารที่เรียกว่า แซนโทน (XANTHONE) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถซ่อมแซมเซลล์ส่วนมี่ถูกทำลายโดยปัจจัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี จึงถูกยอมรับว่าเป็นสารที่ช่วยต้านเซลล์มะเร็งตัวจี๊ดที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว ทั้งนี้นอกจากกินผลสด ๆ แล้ว เรายังสามารถนำเปลือกมังคุดไปทำเป็นไวน์ไว้ดื่มได้อีกอย่างหนึ่งด้วยนะคะ
7. องุ่น
          มหาวิทยาลัยเวย์นสเตต (Wayne State University) ทำการศึกษาคุณสมบัติขององุ่นกับการต้านมะเร็งและพบว่า จากหลักฐานที่ทดลองกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน สามารถพิสูจน์ได้ว่า วิตามินและสารอาหารที่พบในองุ่นทุกชนิด มีผลโดยตรงในการป้องกันโรคมะเร็ง อีกทั้งองุ่นยังมีสารอาหารที่สำคัญที่ดีคือน้ำตาล และสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์ เช่น น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโครส วิตามินซี เหล็กและแคลเซียม มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ และช่วยฟื้นกำลังคนที่ร่างกายผอมแห้ง แก่ก่อนวัยและไม่มีเรี่ยวแรงด้วยนะคะ
8. ส้ม และผลไม้ตระกูลส้มทุกชนิด
          นอกจากจะอัดแน่นไปด้วยกรดวิตามินซีแล้ว ในผลไม้จำพวกส้มยังมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง โดยเฉพาะป้องกันมะเร็งเต้านม โดยข้อมูลทั้งหมดผ่านการรับรองและยืนยันความน่าเชื่อถือจากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม (Texas A&M University) แล้วด้วยนะจ๊ะ
9. แอปเปิล
          สถาบัน Advances in Nutrition ได้ทำการวิจัยและพบว่า แอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ในเรื่องของการลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง อีกทั้งยังป้องกันโรคมะเร็งได้ตั้งแต่สาเหตุของโรคเลยทีเดียว เนื่องจากสารฟลาโวนอยด์ในปริมาณที่สูงมากของเปลือกแอปเปิล สามารถล้างพิษออกจากร่างกาย และช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้ได้นั่นเอง
10. สตรอว์เบอร์รี 
          ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) หรือสารพฤษเคมี บวกกับวิตามินซี และแร่ธาตุดี ๆ อีกหลายชนิดในสตรอว์เบอร์รี ก็เป็นส่วนสำคัญในการต้านเซลล์มะเร็ง และมีสรรพคุณบำบัดโรค โดยเฉพาะป้องกันโรคมะเร็งเต้านมของคุณผู้หญิง การันตีโดยผลวิจัยที่เว็บไซต์ Exan Health ได้นำมาเผยแพร่จ้า
11. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
          จริง ๆ แล้วผลไม้ตระกูลเบอร์รีทุกชนิดมีสารที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้เกือบทั้งหมด แต่ดอกเตอร์แกรี่ ดี สโตเนอร์ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ (The Ohio State University College of Medicine) ชี้แจงว่า ในผลแบล็กเบอร์รีจะมีคุณสมบัติต้านมะเร็งที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน เนื่องจากมีสารพฤษเคมีจำพวกแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สูง ซึ่งช่วยชะลอการเกิดเซลล์มะเร็ง แถมยังสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ได้อีกต่างหาก
12. เลมอน
          นักวิจัยจากประเทศออสเตรเลียเผยว่า วิตามินซี และกรดหลากชนิดในผลเลมอน สามารถป้องกันมะเร็งช่องปาก, มะเร็งลำคอ และมะเร็งในช่องท้องได้ หากดื่มน้ำเลมอนคั้นสดวันละ 1 แก้วกาแฟเป็นประจำทุกวัน และแม้ว่าเลมอนจะไม่ใช่ผลไม้สัญชาติไทยแท้ แต่เลมอนก็ไม่ใช่ผลไม้ที่หายากในบ้านเราซะทีเดียวนะคะ
 13. กีวี
          วารสาร Ethnopharmacology เผยว่า ผลไม้ที่อัดแน่นไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ, วิตามินซี, วิตามินอี, ลูเตียน (Lutein) และสังกะสีชนิดนี้ มีประสิทธิภาพมากพอจะต้านเซลล์มะเร็งได้อยู่หมัด เพียงแค่กินกีวีสดวันละครึ่งลูกก็เท่ากับกินยาต้านมะเร็งเกรดพรีเมียมเข้าไปแล้วล่ะจ้า
14. อะโวคาโด          
          จากการศึกษาของวารสาร Experimental Therapeutics & Oncology พบว่า สารพฤษเคมีในผลอะโวคาโดมีส่วนช่วยป้องกันความผิดปกติที่เกิดจากเซลล์ ปกป้องเซลล์ในร่างกายไม่ได้เกิดเนื้อร้าย กำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว รวมทั้งยับยั้งการเจิญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ และกำลังจะเติบโตเป็นเนื้อร้ายได้อีกด้วย
15. มะเขือเทศ            
          มะเขือเทศอาจจะก้ำกึ่งระหว่างผักและผลไม้ แต่ประเด็นนั้นไม่น่าสนใจเท่ากับผลวิจัยที่สถาบันวิจัยโรคมะเร็งอเมริกา (American Institute for Cancer Research-AICR) เขาพบว่า มะเขือเทศมีคุณสัมบัติป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก รวมไปถึงมะเร็งปอด, มะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้ชะงัด 

เสือชีตาห์

ลักษณะทั่วไป

เสือชีตาห์เป็นเสือที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดชนิดหนึ่งไม่น้อยหน้าสิงโตและเสือโคร่ง ด้วยรูปร่างที่สง่างามน่าแปลกกว่าเสือชนิดอื่น และประกอบกับการเป็นเจ้าของสถิติสัตว์บกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก จึงแทบไม่มีใครไม่รู้จักเสือชีตาห์
เสือชีตาห์เป็นเสือค่อนข้างเล็ก ในเซเรนเกตตี น้ำหนักเฉลี่ยของเสือชีตาห์ตัวผู้คือ 43 กิโลกรัม และตัวเมีย 38 กิโลกรัม รูปร่างต่างจากเสือชนิดอื่นมาก รูปร่างผอมเพรียว ดูเผิน ๆ เหมือนหมาพันธุ์เกรย์ฮาวนด์ สีพื้นลำตัวเป็นสีเหลืองทองและมีจุดสีดำกระจายทั่วทั้งตัว ใต้ท้อง ด้านล่างของขา คอ คาง และริมฝีปากบนสีขาว ที่ใกล้ปลายหางจุดจะกลายเป็นปล้องดำประมาณ 6 วง ปลายหางสีขาว ใบหน้ามี "เส้นหยาดน้ำตา" สีดำพาดจากหัวตาลงมายังมุมปากเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร หนวดค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับเสือโคร่ง ละเอียด อ่อน จึงไม่มีหน้าที่ช่วยในการล่าแต่อย่างใด ใบหูดำ โคนหูและขอบใบหูสีน้ำตาลอมเหลือง เล็บนิ้วโป้งอยู่สูงเด่นจากนิ้วอื่น ใช้ในการเกี่ยวขาเหยื่อที่กำลังวิ่งหนี บริเวณท้ายทอยและหลังมีขนยาวคล้ายแผงคอของสิงโต บางตัวจะยาวมาก โดยเฉพาะลูกเสือ
เสือชีตาห์

สัตว์สังคม

เสือชีตาห์
เสือชีตาห์อาจรวมฝูงกันหากิน ล่าเหยื่อและปกป้องอาณาเขตร่วมกัน
เสือชีตาห์มีทั้งที่หากินโดยลำพังและหากินเป็นฝูงเล็กๆ นับว่าเป็นสัตว์สังคมมากกว่าเสือทั่วไป มีเพียงสิงโตเท่านั้นที่มีสังคมแน่นแฟ้นกว่า หลังจากออกจากการดูแลของแม่แล้ว เสือพี่น้องอาจยังคงอยู่ด้วยกันและช่วยกันทำมาหากินเป็นเวลาถึง 6 เดือนไม่ว่าจะเป็นเพศใด ในเซเรนเกตตี พบว่าเมื่อเสือชีตาห์ตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ก็จะออกจากกลุ่มพี่น้องไปก่อน ส่วนเสือหนุ่มพี่น้องจะอยู่ด้วยกันนานกว่านั้น บางครั้งฝูงเสือชีตาห์หนุ่มอาจยอมรับเสือหนุ่มจากต่างครอบครัวมาร่วมฝูงด้วย ในเซเรนเกตตีคาดว่ามีฝูงแบบนี้มากถึง 15 เปอร์เซ็นต์ เสือหนุ่มที่รวมฝูงกันจะมีอาณาเขตเล็กกว่า บางครั้งอาจเล็กเพียง 12-36 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น อย่างมากไม่เกิน 150 ตารางกิโลเมตร แต่ก็มีศักยภาพในการแสวงหาและรักษาเขตแดนได้ดีกว่าเสือที่หากินโดยลำพัง นอกจากนี้ยังพบว่ามีสุขภาพดีกว่า ล่าสัตว์ได้ขนาดใหญ่กว่า และมีโอกาสเข้าถึงตัวเมียได้มากกว่าในช่วงที่มีกาเซลล์รวมฝูงกันด้วย
ส่วนเสือชีตาห์ตัวเมียอยู่อย่างสันโดษและมีเขตแดนชัดเจน อาจซ้อนเลื่อมกับเขตแดนของตัวเมียตัวอื่นบ้าง
ในแอฟริกาตะวันออกและตอนใต้บางพื้นที่ที่สัตว์นักล่าชนิดอื่นหายไป เคยพบฝูงเสือชีตาห์ที่ใหญ่ถึง 14-19 ตัว (รวมลูก) อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบว่าการรวมฝูงที่ใหญ่ขนาดนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ให้ประโยชน์อย่างไร

ประเทศที่ห้ามล่า

แองโกลา, เบนิน, บอตสวานา, บูร์กินาฟาโซ, แคเมอรูน, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, เอธิโอเปีย, กานา, เคนยา, มาลาวี, มาลี, มอริเตเนีย, โมซัมบิก, นามิเบีย, ไนเจอร์, ไนจีเรีย, รวันดา, เซเนกัล, ซูดาน, แทนซาเนีย, โตโก, ยูกันดา, คองโก, แอลจีเรีย, อียิปต์, อิหร่าน, คาซัคสถาน, โมร็อกโก, ปากีสถาน, ตูนิเซีย, เติร์กเมนิสถาน, อุซเบกิสถาน

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต มนต์เสน่ห์เมืองลาว

1. เมืองหลวงพระบาง (Luang Prabang)

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต มนต์เสน่ห์เมืองลาว

          เมืองหลวงพระบางอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว และถูกขนาบไปด้วยแม่น้ำคานและแม่น้ำโขง เมืองนี้จัดว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล เพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัดวาอารามเก่าแก่ มีบ้านเรือนที่มีสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียน บรรยากาศในเมืองเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม จึงไม่น่าแปลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรกดโลก ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก โดยสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ เช่น วัดใหม่สุวันนะพูมาราม พระธาตุจอมพูสี น้ำตกตาดกวางสี และวัดวิชุน ฯลฯ
2. แม่น้ำโขง (Mekong River)

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต มนต์เสน่ห์เมืองลาว

          แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีความยาวถึง 4,350 กิโลเมตร ประเทศลาวเองก็มีพรมแดนติดแม่น้ำโขงด้วยเช่นกัน และใช้แม่น้ำโขงสำหรับสัญจรไปมาอีกด้วย ทัศนียภาพตลอดแนวริมฝั่งนั้นสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนลาว และความงดงามทางธรรมชาติ อากาศที่บริสุทธิ์ ทำให้ทริปล่องแม่น้ำโขงนั้นเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยจุดเริ่มต้นเส้นทางเริ่มที่เมืองห้วยทรายและสิ้นสุดที่เมืองหลวงพระบาง หรือจะออกเดินทางจากหลวงพระบาง-ห้วยทรายก็ได้
3. วังเวียง (Vang Vieng)

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต มนต์เสน่ห์เมืองลาว

          วังเวียงเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ตั้งอยู่ในเมืองวังเวียง ริมแม่น้ำซอง อยู่ห่างจากเมืองหลวงเวียงจันทน์ 150 กิโลเมตร ตัวเมืองถูกล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ ด้วยลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ทำให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามไปด้วยธรรมชาติ มีทัศนียภาพอันงดงามของทิวเขาที่วางสลับตัวกัน เหมาะจะไปสูดอากาศบริสุทธิ์ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวลาวในชนบท เช่น เผ่าลาวสูง, ลาวเทิง, ลาวม้ง และไทลื้อ ส่วนกิจกรรมที่น่าสนใจประกอบด้วย เดินทางไกลชมป่าไม้ ปีนเขา ชมถ้ำ และล่องห่วงยางเล่นบนแม่น้ำซอง ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก จึงมีที่พัก ร้านอาหาร ร้านอินเทอร์เน็ต ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยวเปิดให้บริการอย่างคึกคัก

4. สี่พันดอน (Si Phan Don )

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต มนต์เสน่ห์เมืองลาว

          สี่พันดอน แปลว่า สี่พันเกาะนั่นเอง เป็นหมู่เกาะที่อยู่บริเวณแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของประเทศลาว ก่อนที่จะไหลเข้าเขตประเทศกัมพูชา ชาวบ้านแถบนี้ประกอบอาชีพประมงเป็นส่วนใหญ่ และยังคงดำรงชีวิตแบบชาวชนบท มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เป็นเขตที่ค่อนข้างสงบทีเดียว จุดท่องเที่ยวหลัก ๆ มีอยู่ 3 แห่ง คือ ดอนคง ดอนคอน และดอนเด็ด  สำหรับดอนคงเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนแบบชิล ๆ สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ ชมความงามของธรรมชาติ สำหรับดอนคอนและดอนเด็ดเป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาค่อนข้างมาก จึงมีที่พักเปิดให้บริการกับผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชมธรรมชาติที่นี่ ที่สำคัญราคาที่พักไม่แพงเลย
5.  ทุ่งไหหิน (Plain of jar)

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต มนต์เสน่ห์เมืองลาว
          ทุ่งไหหินเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในเมืองเชียงขวาง (Xieng Khouang) เป็นที่ราบกว้างเต็มไปด้วยหินรูปทรงคล้ายไหหรือโอ่ง มีความสูงตั้งแต่ 1-3 เมตร นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ไหพวกนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่ยุคหิน และน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมฝังศพ เพราะมีการค้นพบซากโครงกระดูกมนุษย์และสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการฝั่งศพบริเวณรอบ ๆ นอกจากนี้ บริเวณรอบ ๆ ไหหินยังมีร่องรอยของหลุมระเบิดที่ทิ้งลงมาโดยสหรัฐอเมริกาอีก อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดจากนักโบราณคดีว่าที่มาของไหหินนี้เป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติไปเรียบร้อยแล้ว
6. วัดเชียงทอง (Wat Xieng Thong)


10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต มนต์เสน่ห์เมืองลาว

          วัดเชียงทองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวงพระบาง มีการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา และได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในลาว จนทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต่างพากันมาชื่นชมความงามนี้ด้วยสายตาของตัวเอง นอกจากจะมีรูปทรงที่สวยงามแล้ว ยังเป็นศาสนสถานที่ทรงคุณค่าทางจิตใจของชาวลาว ทั้งนี้ วัดเชียงทองถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1560 โดยพระโพธิสารเจ้า มีฐานะเป็นวัดหลวง จึงทำให้มีการดูแลปฏิสังขรณ์เป็นอย่างดี ภายในวัดเชียงทองประกอบไปด้วยพระอุโบสถ พระประธาน วิหารน้อย โรงเมี้ยนโกศ ซึ่งมีการประดับตกแต่งด้วยศิลปะแบบหลวงพระบางแท้ ๆ
7. พระธาตุหลวง (Pha That Luang)

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต มนต์เสน่ห์เมืองลาว
          พระธาตุหลวงเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาพุทธตั้งอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ ถูกสร้างขึ้นโดยบุรีจันอ้วยล้วย หรือพระเจ้าจันทบุรีศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์พระองค์แรก ตามตำนานเล่าว่า มีพระภิกษุลาวจำนวน 5 รูป เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดีย แล้วนำพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนที่เป็นหน้าอก) มาไว้ที่เวียนจันทน์ เจ้านครในสมัยนั้นจึงสั่งให้มีการสร้างพระธาตุขึ้นมาเพื่อบรรจุพระอุรังคธาตุไว้สำหรับกราบไหว้บูชา เริ่มแรกนั้นพระธาตุถูกสร้างด้วยหิน แต่ต่อมามีการสร้างเจดีย์ครอบองค์พระธาตุ และบริเวณรอบ ๆ องค์พระธาตุมีเจดีย์รายล้อมหลายองค์ ที่เจดีย์ถูกแกะสลักเป็นลวดลายพญานาค พระพุทธรูปปิดทองลายกลีบบัวประดับอยู่บนฐานปักษ์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรูปทรงของพระธาตุมีลักษณะคล้ายกับป้อมปราการ เพราะมีระเบียงล้อมรอบสูง สถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นปูชนียสถานที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อคนลาวมากที่สุดก็ว่าได้ เสมือนเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งประเทศ
8. ปราสาทหินวัดพู (Wat Phu)

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต มนต์เสน่ห์เมืองลาว

          ปราสาทหินวัดพูตั้งอยู่บนเนินเขาพู ในแขวงจำปาสัก (Champasak) เป็นซากปรักหักพังของวัดฮินดูโบราณ ที่สร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 11 ถึง 13 นอกจากนี้ วัดพูยังได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกเพราะเคยเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณถึง 3 สมัยด้วยกัน ตรงทางเข้าวัดพูนั้นมีหินปูเรียงรายสำหรับเดินเข้าวัด มีเสาเรียงตั้งเรียงอยู่หลายต้นขนาบข้างทางเดิน มีเรือนใหญ่ 2 หลัง ซุ้มประตูที่พลังทลาย หินสลักเป็นรูปเศียรช้าง และรูปปั้นหินรูปต่าง ๆ เช่น โยคี จระเข้ และมีพระพุทธรูปตั้งวางสำหรับกราบไหว้บูชา บรรยากาศที่ปราสาทแห่งนี้ให้ความรู้สึกถึงความอลังการ ความขลัง ผสมผสานกับความลี้ลับ น่าพิศวง อาจด้วยความเก่าแก่ตามกาลเวลา อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันถูกใช้เป็นสถานที่ทางพุทธศาสนานิกายเถรวาท
9. ถ้ำปากอู (Pak Ou)

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต มนต์เสน่ห์เมืองลาว

          ถ้ำปากอู หรือถ้ำติ่ง อยู่ในแขวงหลวงพระบาง (Laung Prabang) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง นักท่องเที่ยวต้องนั่งเรือจากตัวเมืองในหลวงพระบางประมาณ 25 นาที เมื่อมาถึงบ้านปากอู ต้องนั่งเรือข้ามฝากมาฝั่งตรงข้ามจะพบถ้ำติ่ง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ถ้ำ คือ ถ้ำติ่งลุ่ม และถ้ำติ่งเทิ่ง เมื่อลงมาจากเรือจะพบทางเข้าถ้ำติ่งลุ่ม เป็นถ้ำที่มีโพรงไม่ลึก ภายในมีหินงอกหินย้อย และมีรูปปั้นพระพุทธรูปที่ทำจากไม้เต็มไปหมด เชื่อกันว่าในสมัยก่อนเคยถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับสักการบูชาดวงวิญญาณ ภูตผี แต่เมื่อศาสนาพุทธเข้ามาในลาวจึงกลายเป็นศาสนสถานทางพุทธไป และเมื่อเดินไปอีกทางหนึ่งจะพบถ้ำเทิ่ง เป็นถ้ำที่ลึกมาก ภายในมีพระพุทธรูปเช่นกัน แต่มีจำนวนไม่มากเท่ากับถ้ำติ่งลุ่ม
10. เวียงไซ (Vieng Xai)

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต มนต์เสน่ห์เมืองลาว

          เวียงไซเป็นเมืองหนึ่งในแขวงหัวพัน (Hua Phan) แหล่งท่องเที่ยวที่เปรียบเสมือนแม่เหล็กของเมืองเวียงไซ คือ "ถ้ำผู้นำ" เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ปกคลุมตัวต้นไม้เขียวขจี ดูแล้วก็เหมือนถ้ำทั่ว ๆ ไป แต่สิ่งที่ต้องทำให้ผู้คนตะลึง คือ ภายในถ้ำถูกขุดเจาะและสร้างเป็นที่อยู่อาศัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้องพัก ห้องรับแขก ห้องประชุม โรงเรียน โรงพยาบาล ห้องหลบภัย โรงภาพยนตร์ ห้องสำหรับเล่นกีฬา ฯลฯ ซึ่งสามารถรองรับผู้อาศัยได้ประมาณ 20,000 คน โดยถ้ำผู้นำสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสถานที่หลบภัยของแกนนำทหารคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามอินโดจีน เมื่อย้อนกลับไปสมัยนั้น สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดลงมาในลาวหลายลูกติดต่อกันเป็นเวลาถึง 9 ปี เพื่อขจัดพวกคอมมิวนิสต์ไปหมดสิ้นไป เหล่าแกนนำคอมมิวนิสต์จึงหาที่หลบภัย โดยการเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำ ทำให้มี "ถ้ำผู้นำ" ลักษณะนี้อยู่ถึง 12 แห่ง ตั้งอยู่ใกล้เคียงกันในเมืองเวียงไซ แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวชมเพียง 6 ถ้ำเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการแสดงนิทรรศการเล่าเรื่องราวความเป็นมาของเหตุการณ์ในครั้งนั้นในแง่มุมของความรักชาติ การเสียสละเพื่อชาติอีกด้วย

การเพาะเลี้ยงปลาตะเพียนขาว

การเพาะพันธุ์  ได้มีการเพาะพันธุ์ปลาตะเพียนขาวในบ่อครั้งแรกในประเทศไทยที่สถานีประมง (บึงบอระเพ็ด) จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนปี 2503 ต่อมาได้พัฒนาจนถึงขั้นเพาะพันธุ์ออกจำหน่ายได้ที่สถานีประมงจังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นก็ได้มีการพัฒนาการเพาะพันธุ์แบบช่วยธรรมชาติ โดยการฉีดฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง และถึงขั้นการผสมเทียมตามลำดับ จนกระทั่งแพร่หลายไปทั่วทุกสถานีประมงและฟาร์มเอกชนทั่วไป การเพาะพันธุ์ปลาตะเพียนขาวนั้นอาจแบ่งออกเป็นขั้นตอนต่างๆ คือ
การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาตะเพียนขาว เพื่อใช้ในการเพาะพันธุ์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการได้พ่อแม่พันธุ์ที่ดีนั้นย่อมมีผลกระทบกระเทือนที่จะได้ปริมาณลูกปลาที่รอดตายสูง โตเร็ว และแม้กระทั่งลดค่าใช่จ่ายในการเลี้ยงลงได้ด้วยในการเลี้ยงปลาเพื่อให้ได้พ่อแม่พันธุ์ที่ดีนั้น มีปัจจัยสำคัญที่ควรกล่าวถึง คือ
1. บ่อ แม้จะยังไม่มีการทดลองว่าบ่อขนาดเท่าใดจะพอเหมาะในการเลี้ยงปลาตะเพียนขาว แต่ก็มีแนวทางที่จะพิจารณาว่าบ่อขนาดเท่าใด จำนวนเท่าใดจะเหมาะสม เช่น
-ความสะดวกในการจับพ่อแม่พันธุ์ขึ้นมาทำการเพาะพันธุ์แต่ละครั้ง
-บ่อขนาดใหญ่ที่เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์มาก หากจับบ่อยครั้งพ่อแม่พันธุ์อาจได้รับความกระทบกระเทือน บอบช้ำ ส่งผลถึงการเพาะพันธุ์ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
-หากบ่อกว้างมากจะยังผลให้ต้องใช้แรงงานในการจับมากได้มีผู้ให้ความเห็นพอจะสรุปได้ ดังนี้
1. บ่อพ่อแม่ปลาควรมีขนาด 800-8,000 ม.2 และความลึก 1.5-2.5 เมตร
2. ถ้าต้องการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์จำนวนมากเพื่อใช้ในการเพาะพันธุ์ ไม่ควรเลี้ยงรวมกันในบ่อใหญ่ แต่ควรแยกเลี้ยงในบ่อเล็กหลายๆ บ่อ
3. จำนวนบ่อมากน้อยเท่าใด ขึ้นอยู่กับปริมาณพ่อแม่พันธุ์เป็นเกณฑ์ และควรพิจารณาปริมาณจำนวนตัวผู้ซึ่งปกติใช้จำนวนมากกว่าตัวเมียคือ ประมาณ 2:1 อยู่แล้วเนื้อที่ที่จะเลี้ยงและจำนวนบ่อทั้งหมด คำนวณจาก 4 ม.2/ตัว
4. จากเอกสารการปรับปรุงแหล่งประมงน้ำลึก ใช้บ่อขนาด 27 X 100 X 1.5 ม. เป็นบ่อพ่อแม่พันธุ์
5. บ่อพ่อแม่พันธุ์ขนาดควรจะเล็กใหญ่เท่าใดนั้น ควรพิจารณาจากขนาดของกิจการ ชนิดของปลา ความสะดวกในการจับมาเพาะพันธุ์ ฯลฯ ส่วนความลึกของบ่อนั้นควรอยู่ในระหว่าง 1.5-2.5 ม.
2. น้ำและการถ่ายเทน้ำ ในบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาควรได้มีการนำน้ำที่มีคุณสมบัติมาใช้ นอกจากนี้การถ่ายเทน้ำปอยๆ จะช่วยกระตุ้นให้อวัยวะสืบพันธุ์เติบโตเร็วขึ้น และการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์กับความถี่ในการถ่ายเทน้ำ นอกจากนี้การลดและเพิ่มระดับน้ำตามจังหวะที่เหมาะสม ก็เป็นการช่วยให้อวัยวะสืบพันธุ์เติบโตเร็วขึ้นเช่นเดียวกับน้ำฝน น้ำท่วม และกระแสน้ำ ย่อมมีอิทธิพลต่อการเจริญของอวัยวะสืบพันธุ์ไปพร้อมกันด้วย
เกี่ยวกับการส่งน้ำเข้าบ่อและระบายน้ำออกนั้น มีข้อที่น่าสังเกตและการพิจารณาได้ เช่น หากเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ในบ่อเดียวกัน ปลาอาจผสมพันธุ์กันเองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูผสมพันธุ์ และในจังหวะที่มีการถ่ายเทน้ำเข้าบ่อ การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์แยกบ่อกันจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้หากมีบ่อเพียงพอ
3. ความหนาแน่นของปลาหรืออัตราปล่อยปลาทุกชนิด ถ้าปล่อยลงบ่อเลี้ยงจนหนาแน่นเกินไป จะทำให้การเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ไม่ดี เนื่องจากปลาจะกลั่นและปลดปล่อยสารต่างๆ ลงน้ำ สารดังกล่าวมีคุณสมบัติช่วยระงับมิให้มีการสืบพันธุ์วางไข่ขึ้น ปัจจัยที่เกิดขึ้นภายในตัวปลาที่เกี่ยวกับสารที่ถูกขับจากฮอร์โมนแอนโดรไครน์ (endrocrine secretion) โดยเฉพาะต่อมใต้สมองที่ช่วยกระตุ้นให้ไข่แก่ และน้ำเชื้อดีจนวางไข่ และมีน้ำเชื้อดีก็ต้องได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมภายนอกด้วย บทบาทของสเตอโร ฮอร์โมน (stero hormones) ที่ผลิตจากปลาเพศผู้แล้วปล่อยลงไปในน้ำจะกระตุ้นให้ปลาเพศเมียไข่แก่และวางไข่
อัตราการปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์ที่เลี้ยงในบ่อ เพื่อเตรียมใช้ในการผสมพันธุ์นั้น ได้มีผู้ไห้ความเห็นที่แตกต่างกัน เช่น ในเนื้อที่ 1 ไร่ ควรปล่อย
-8 ม.2/ตัว
-3-4 ม.2/ตัว
เห็นว่าการพิจารณาปริมาณปลาที่จะปล่อยเพื่อเลี้ยงเป็นพ่อ-แม่พันธุ์นั้น ควรจะพิจารณาจาก
-สภาพของบ่อและระบบของน้ำที่ใช้เลี้ยง
-ขนาดหรือน้ำหนักของปลาที่ปล่อย
      

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของการนอนเร็วก่อน 4 ทุ่ม

ถ้าปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นคนนอนเร็วขึ้น ก่อน4 ทุ่มก็จะช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นถึง 9 ประการ
1. สมองสร้างเคมีฯที่มีประโยชน์กับอวัยวะ
ต่างๆของร่างกาย สมองเป็นส่วนสำคัญในการแจกงานให้อวัยวะต่าง ๆ แม้แต่เวลานอนก็ยังทำให้ร่างกายได้รับ เคมีนิทรา (เมลาโทนิน), เคมีสุข (ซีโรโทนิน),ฮอร์โมนเพศและเคมีหนุ่มสาว(โกรทฮอร์โมน)แถมยังมีเคมีบำรุงออกมาควบคุมระบบในตัวเราให้ทำงานราบรื่น ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น ทำให้ดูอ่อนเยาว์ สร้างเกราะป้องกันอาการป่วยได้ด้วย
2. สมองมีความจำดีขึ้น
การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่า คนที่นอนหลับได้แค่ราว 4 ชั่วโมงต่อคืน ติดต่อกันนาน ๆ มีผลต่อความจำและสมาธิมากขึ้น นั่นก็เพราะเวลาเรานอน สมองจะมีกลไกช่วยจัดระเบียบคล้ายกับการแยกอีเมลขยะออกไป แต่ถ้าเราอดนอน เราจะรู้สึกมึน ลืมง่าย หรือไม่ก็ลิ้นพันกัน คิดอย่างพูดอย่าง
3. คุมความดันโลหิตได้ การนอนหลับเร็ว จะช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหลาย และกลไกทางชีววิทยาที่เป็นเหมือนฟันเฟืองขนาดจิ๋วทำงานซับซ้อนช่วยควบคุมหัวใจ และความดันโลหิตให้สงบลง ไม่แกว่งขึ้นลงง่ายเหมือนกับตอนตื่นนอน
4. ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ
การนอนไวช่วยซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอ ช่วยให้สมองได้พักผ่อน กล้ามเนื้อคลาย ตัว หัวใจสงบขึ้น ความดันลดลง
5. ได้ล้างพิษ เวลาที่เรานอนจะเป็นช่วง เวลาที่อวัยวะอย่าง ตับ ไต ลำไส้ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ช่วยล้างพิษทำงานได้ดีขึ้น
6. ไม่อ้วนง่าย การนอนเร็วช่วยคุมน้ำหนัก ตัวได้ดีกว่า อีกทั้งยังกระตุ้นเตาเผาใน ร่างกายให้ทำงานได้ดี ช่วยให้ไม่อ้วนง่าย ไม่สร้างเคมีเก็บไขมันมากด้วย
7. มีสุขภาพดีขึ้นถ้าเรานอนให้เร็วขึ้น เรา จะได้นอนอย่างเต็มอิ่ม ร่างกายและสมอง ได้พักผ่อน ความจำดี มีสมาธิ มองอะไร ก็มีความสุขได้ง่ายขึ้น
8. โรคไม่กำเริบ การนอนไวไม่เสี่ยงต่อ
โรค กำเริบโดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันสูง เบาหวาน ภูมิแพ้ โรคเครียดซึมเศร้า และโรคมะเร็ง
9. ชะลอความแก่ นอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะ แค่นอนก็ช่วยเสริมสร้างความหนุ่มสาว และช่วยให้หลับสนิททั้งหลายไม่ทำร้ายร่างกายก่อนวัยอันควร จึงป้องกันความเสื่อมชรา

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ยูโรสตาร์

ยูโรสตาร์ (อังกฤษEurostar) เป็นรถไฟความเร็วสูงที่ให้บริการในยุโรปตะวันตก เชื่อมต่อระหว่างลอนดอนและเคนต์ ในสหราชอาณาจักร กับปารีสและลีลในฝรั่งเศส และบรัสเซลส์ในเบลเยียม นอกจากนั้นยังให้บริการจากลอนดอนไปยังดิสนีย์แลนด์รีสอร์ตในปารีส และอีกหลายจุดหมายปลายทางตามแต่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว โดยวิ่งผ่านอุโมงค์รถไฟลอดใต้พื้นทะเลช่องแคบอังกฤษ และฝรั่งเศส
รถไฟยูโรสตาร์เป็นขบวนรถไฟจำนวน 18 โบกี้ วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (186 ไมล์ต่อชั่วโมง) สร้างโดยบริษัทอัลสธอม ประเทศฝรั่งเศส โดยใช้เทคโนโลยีของรถไฟเตเฌเว (TGV) ในการพัฒนา ให้บริการครั้งแรกในปี ค.ศ. 1994 ระหว่างลอนดอน ปารีส และลอนดอน บรัสเซลล์ ส่วนขบวนรถที่วิ่งระหว่างปารีส บรัสเซลล์ ให้บริการโดยรถไฟตาลิส และรถไฟเตเฌเว
สถานีหลักของยูโรสตาร์ที่ประเทศอังกฤษ คือสถานีนานาชาติเซนต์แพงครัส (St Pancras International) ในลอนดอน และอีกสองสถานี คือสถานีนานาชาติเอปสฟลีท (Ebbsfleet International) และสถานีนานาชาติแอชฟอร์ด (Ashford International) ในเมืองเคนท์ ส่วนสถานีในประเทศฝรั่งเศสคือสถานีกาแล เฟรทุน (Calais-Fréthun) และสถานีลีล-ยุโรป (Lille-Europe) และสถานีหลักคือสถานีปารีส นอร์ท (Gare du Nord) ในปารีส สถานีที่ประเทศเบลเยี่ยมคือสถานี Midi/Zuid ในบรัสเซลล์ นอกจากนี้ยังให้บริการจากลอนดอนไปยังดิสนีย์แลนด์รีสอร์ท และอีกหลากหลายจุดหมายปลายทางในฝรั่งเศส ตามแต่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว
ตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง รถไฟยูโรสตาร์ได้ร่วมบริหารโดยการรถไฟแห่งชาติฝรั่งเศส (SNCF) การรถไฟแห่งชาติเบลเยี่ยม (NMBS/SNCB) และบริษัทยูโรสตาร์ ของอังกฤษ (EUKL) ซึ่งเป็นบริษัทสาขาของ London and Continental Railways (LCR) ซึ่งเป็นเจ้าของระบบรางรถไฟความเร็วสูงและสถานีในฝั่งประเทศอังกฤษ รถไฟยูโรสตาร์ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในการเดินทางระหว่างเมืองที่ให้บริการ โดยมีผู้โดยสารต่อปีมากกว่าทุกสายการบินรวมกันในจุดหมายเดียวกัน

ยอดเขามงบล็อง

มงบล็อง (ฝรั่งเศสMont Blanc) หรือ มอนเตเบียนโก (อิตาลีMonte Bianco) ตั้งอยู่บริเวณพรมแดนระหว่างประเทศฝรั่งเศสกับประเทศอิตาลี เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเทือกเขาแอลป์ มีความสูง 4,807 เมตร ทั้ง "มงบล็อง" และ "มอนเตเบียนโก" ต่างมีความหมายว่า "ภูเขาสีขาว" สภาพทั่วไปของยอดเขามีร่องรอยการกัดเซาะของธารน้ำแข็ง ยอดเขามงบล็องมีรูปร่างยอดขรุขระ เพราะเกิดจากการโกงตัวของแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่นคือ แผ่นเปลือกโลกแอฟริกากับแผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย แต่หินบริเวณที่โก่งตัวกลับเป็นหินทรายกับหินปูน ยอดเขาสูงบริเวณเทือกเขาแอลป์จึงสึกกร่อนได้ง่าย จึงเป็นสาเหตุให้ยอดเขามงบล็องก็มียอดแหลมขรุขระ เพราะโดนสภาพอากาศและธารน้ำแข็งกัดกร่อนมาเป็นเวลานานหลายล้านปี สภาพภูมิอากาศของยอดเขามงบล็องเป็นแบบเมติเตอร์เรเนียน บนยอดมีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สำคัญของอิตาลีและฝรั่งเศส



วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ดอกลาเวนเดอร์

ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีการท่องเที่ยวหลากหลาย ชอบเที่ยวเทศกาลอะไรมีให้ทุกเดือนครับ แต่ในเร็วๆ นี้ ช่วงเดือนกรกฎาคม ของทุกปี จะมีเทศกาลแห่งความสวยงามของดอกไม้ นั่นก็คือ ดอกลาเวนเดอร์ ที่เกาะฮอกไกโด ครับ 

เกาะฮอกไกโดเป็นเกาะที่อยู่ช่วงเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น ในช่วงฤดูหนาวจึงหนาวจัดมาก ส่วนฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อน อากาศก็เย็นสบาย จึงเป็นเสน่ห์ทำให้เที่ยวได้ทั้งปี แน่นอนครับ ช่วงฤดูร้อน มิถุนายน – สิงหาคม จึงเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปเยอะ นอกจากอากาศดีแล้ว ผู้คนยังไม่แออัด เป็นเมืองใหญ่จนเกินไป การจราจรก็สะดวกสบาย อาหารการกิน ก็แสนจะอร่อย ถ้าใครชอบรับประทานอาหารญี่ปุ่น ที่ฮอกไกโด เป็นสถานที่หนึ่งที่ถือว่าอร่อยสุดๆ เพราะที่นี่อาหารสดจากทะเล ทั้งสดและคุณภาพดี แถมพ่วงท้ายด้วยราคาถูกแสนถูก แต่สิ่งที่กำลังจะพูดต่อไปนี้ คือ เทศกาลที่หนึ่งปี มีครั้งเดียวครับ นั่นคือ ช่วงดอกลาเวนเดอร์ บานสะพรั่งทั้งทุ่ง ถือเป็นไฮไลต์ ของช่วงฤดูร้อน บนเกาะฮอกไกโดกันนะครับ
เมืองเล็กๆ ที่อยู่บนเกาะนี้ ชื่อเมือง ฟูราโน เป็นเมืองที่สร้างความสวยงาม ของทุ่งลาเวนเดอร์ ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะดอกลาเวนเดอร์ จนทำให้มีคนพูดถึงต่อๆ กันจนทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าไปเมืองนี้ ในช่วงเดือนกรกฎาคม กันมากมายทีเดียวครับ การเดินทางไปเมืองนี้ก็ไม่ยาก ถนนหนทางสะดวกสบาย แถมยังมีขบวนรถไฟด้วยนะครับ และขบวนรถไฟก็ยังแต่งแต้มให้สวยงามสดใส เข้ากับดอกลาเวนเดอร์ กันตั้งแต่ออกเดินทางกันเลยครับ 

เค้าบอกกันว่า ลาเวนเดอร์แห่งนี้ มีประวัติเริ่มโด่งดังมาตั้งแต่ พ.ศ. 2466 ในช่วงแรกนิยมปลูกกันหลายรูปแบบ และปลูกดอกไม้หลากหลายพันธุ์ จนถึงปี พ.ศ. 2501 ได้มีการปลูกลาเวนเดอร์กันอย่างจริงจัง เพราะได้มีการค้นพบ ในการนำมาสกัดเป็นน้ำหอมได้ พร้อมทั้งนำมาเป็นส่วนผสม ของสินค้าอื่นๆ เช่นสบู่ โลชั่น และสินค้าต่างๆ อีกมากมาย หลายสิบรายการ จึงทำให้ลาเวนเดอร์ ขยายพื้นที่ในการปลูกด้วยความรวดเร็ว และทำให้ผู้คนเห็นความสวยงามของทุ่งลาเวนเดอร์มากขึ้นที่เมือง ฟุราโน แห่งนี้ 

ในภายหลังไม่ว่าคนท้องถิ่น หรือนักท่องเที่ยว จึงแอบเฝ้ารอที่จะถ่ายภาพ กับทุ่งลาเวนเดอร์ที่มีดอกบานสะพรั่ง เพราะสีของดอกลาเวนเดอร์ เมื่ออยู่บนภาพถ่ายแล้ว จะมีเอกลักษณ์ของสี และความสวยงามของทุ่งอย่างชัดเจน

ชีสชนิดต่างๆ

มอซซาเรลล่า (Mozzarella) 

ของเก่าเล่ายี่ห้อนั้นต้องทำจากนมควาย ซึ่งจะเรียกติดปากว่า Mozzarella di Bufala
บ้านเรารู้จักมอซซาเรลล่าที่นำไปทำพิซซ่าเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะเนื้อแน่นแข็งกว่า
ของชาวอิตาเลียนต้นฉบับ สมัยนี้ชีสจากนมควายชนิดนี้มีการทำเลียนแบบเกลื่อน
กลาดด้วยนมวัว แต่ไม่มีทางเหมือนต้นฉบับนมควายแท้ๆ แบบไม่พร่องมันเนยนี้เลย 
แม้ว่าคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่านมควายมีรสชาติเป็นอย่างไร ถึงกระนั้นเมื่อได้ลองชิม
ชีสคำแรกก็จะบอกได้ทันทีว่า ชีสนี้ทำจากนมที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน สีของชีสขาว
เหมือนกระเบื้องชั้นดี มีรูปทรงกลมและมีผิวบางๆ 

คาม็องแบร์ต (Camembert)

เป็นชีสฝรั่งเศส เกิดที่แคว้นนอรมังดี นักทานบางคนอ้างว่าได้รสของแอปเปิ้ลใน
ชีสชนิดนี้ เป็นชีสที่มีสี กลิ่น รส เนื้อ หน้าตาใกล้เคียงกับชีสที่ชื่อว่า บรี (Brie) 
คาม็องแบร์จะขายทั้งก้อนกลมๆไม่ใหญ่มาก หรือขายครึ่งวงกลม คาม็องแบร์ตมี
รูปทรงเป็นวงล้อ เนื้อจะแข็งเมื่อแช่เย็น แต่จะนิ่มและไหลยืดนิดๆเมื่ออุ่นขึ้น เหมาะ
กับทานกับขนมปัง ผลไม้ ถั่วต่างๆ และควรทานที่อุณหภูมิห้อง เป็นชีสที่ทำจาก
นมวัวพาสเจอร์ไรส์

บรี (Brie)

หน้าตาใกล้เคียงกับคาม็องแบร์ตมาก แต่บรีมักจะทำก้อนใหญ่กว่า และขายเป็น
แว่นสามเหลี่ยม บรีรสเข้มกว่าคาม็องแบร์ต เหมาะกับการทานกับแชมเปญ

ร็อคฟอร์ต (Roquefort)

เป็นบลูชีสโบราณจากแคว้นรูเอิร์ก ซึ่งเป็นแคว้นเล็กๆทางใต้ของฝรั่งเศส ชีสนี้เทียบเคียง
ได้กับชีสสติลตั้นของอังกฤษ กับชีสกอร์กอนโซล่าของอิตาลี ถือว่าเป็นสามทหารเสือแห่ง
บลูชีสเลยทีเดียว และเป็นชีสที่สร้างมาตรฐานให้กับบลูชีสชนิดอื่นๆ ร็อคฟอร์ตทำจากนม
แกะดิบ ซึ่งเป็นคู่แข่งตัวดีกับนมวัวพาสเจอร์ไรส์ ร็อคฟอร์ตจะมีการหมักบ่มอย่างเป็นธรรม
ชาติในถ้ำแห่งค็องบาลู เป็นเวลาอย่างน้อยสามเดือน เพื่อให้ได้รสชาติเข้มลึก สมาคมร็อค
ฟอร์ตเป็นผู้คุ้มครองคุณภาพของชีสชนิดนี้ และทำเครื่องหมายติดว่าเป็นชีสร็อคฟอร์ตของ
แท้ไม่ปลอมปน ด้วยตราแกะสีแดง สร็อคฟอร์ตเป็นชีสเนื้อนุ่ม ไม่มีผิวแข็งๆ และค่อนข้าง
เกาะกันเป็นก้อนร่วนๆ ตัดขายเป็นเสี้ยววงกลม ราคาค่อนข้างแพงกว่าอย่างอื่นๆ  ทานกับ
แอปเปิ้ลเปรี้ยวๆ หรือหักเป็นก้อนๆ ใส่สลัดใบเอ็นไดว์ผสมกับลูกวอลนัต บางทีก็เอาไปทำ
น้ำสลัดแบบข้นได้ 

เพโคริโน่ (Pecorino) 

เป็นชีสที่ทำจากนมแกะบริสุทธิ์ และแต่งรสด้วยไวน์ แต่แอลกอฮอล์ระเหยหายไปหมดแล้ว 
เพโคริโน่เป็นชีสที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของโลก และสามารถสืบย้อนประวัติกลับไปได้ยาว
นานถึง 2000 ปีทีเดียว ไปจนถึงยุคที่อาชีพหลักของอิตาลีคือการเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้า ประวัติ
ความเป็นมาของไวน์ก็ยาวนานไม่แพ้กัน ดังนั้นเมื่อนำไวน์กับชีสชนิดนี้มารวมกัน ก็นับเป็นคู่
ขวัญที่ลงตัวอย่างเพอร์เฟ็ค มีการทำเพโคริโน่ผสมพริกป่น รสเผ็ดจากพริกป่นนี้จะทำให้คัน
คอนิดๆ แต่ไม่ทำให้เผ็ดที่ในปาก พริกป่นจากพริกอิตาเลียนชื่อว่า เปเปอโรนชิโน่ ที่ลักษณะ
เหมือนนิ้วมือนางและเผ็ดทัดเทียมกับพริกเม็กซิกันที่เรียกว่า ฮาลา กระบวนการหมักบ่มชีสนี้
ใช้เวลาสามเดือน เป็นชีสเนื้อแข็งเหมาะกับการฝานเป็นชิ้นๆ หรือขูดให้ป่น คำว่า Pecorino 
ในภาษาอิตาเลียนหมายความว่า นมแกะ มีเพโคริโน่บางรุ่นที่เรียกว่า Pecorino Romano 
เพื่อเป็นการบอกว่าสืบสานต้นตำนานมาแต่สมัยโรมันครองเมือง ชีส เพโคริโน่ โรมาโน่ 
ทั้งหมดนี้ทำในแคว้น Lazio แคว้น Tuscany หรือแคว้น Sardinia ในช่วงเดือนพฤศจิกายน
ถึงมิถุนายน ทั้งสามแว่นแคว้นนี้มีลักษณะทุ่งเลี้ยงสัตว์คล้ายกัน และเลี้ยงแกะพันธุ์เดียวกัน
ทำให้ได้รสชาติสม่ำเสมอทั่วหน้ากัน ชื่อ Pecorino Romano นี้ได้รับการจดทะเบียนคุ้มครอง
โดยสมาคมของอิตาลี ทั่วประเทศอิตาลีมีการทำชีสเพโคริโน่นี้มากมายไปหมด เพโคริโน่มี
สีเหลืองซีดและมีผิวเป็นสีดำพริกไทยหรือน้ำตาลเข้ม เป็นชีสที่เหมาะกับการขูดใส่หน้า
พาสต้า ซุป หรือสลัด หากจะทำเป็นของหวานก็ฝานเป็นแผ่นๆ หรือหั่นเป็นก้อน และโรยด้วย
น้ำผึ้ง ทานกับลูกแพร์สุก

พาร์มิจาโน่ เร็กจิอาโน่ (Parmigiano Reggiano)

ถือกำเนิดเมื่อเจ็ดศตวรรษก่อนในจังหวัดของอิตาลีที่ชื่อว่า พาร์ม่า เมืองเร็กกิโอ้ เอมิเลีย 
เมืองโมเดน่า และส่วนหนึ่งของเมืองโบโลญญ่า และส่วนหนึ่งของเมืองมันทัว เมืองเหล่านี้
เหมือนถูกสวรรค์กำหนดให้สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ในท้องทุ่งที่สมบูรณ์แบบวิเศษสุด ทำให้เกิด
นมที่สุดพิเศษ ได้ชื่อย่านนี้ว่า "Zone Tripica" ช่างทำชีสแห่งท้องถิ่นมีกระบวนการทำชีสนี้
อย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่เคยดัดแปลงวิธีการติดต่อกันมานับ 700 ปี ไม่มีการใช้สารกันบูด 
ไม่มีการใช้เครื่องจักร ไม่มีเครื่องมืออะไรทั้งสิ้น แค่ใช้นมสดอันแสนหวานที่ได้มาจากวัวที่สุข
ภาพเป็นเลิศ จากนั้นก็ใช้วิชาช่างฝีมือทำชีสแบบโบร่ำโบราณ แล้วปล่อยให้ธรรมชาติดูแล
เป็นเวลา 18 ถึง 36 เดือน การทานชีสนี้ให้ถูกหลักคือ ให้ซื้อเป็นก้อน ห่อด้วยกระดาษไข 
ไม่แน่นมากเกิน และเก็บให้ห่างอาหารกลิ่นแรง และขูดหรือหั่นเท่าที่ต้องการทานในแต่ละ
ครั้ง ชีสขูดแล้วขายนั้นเป็นขวดๆ หรือห่อๆ นั้นไม่อร่อยเท่าชีสก้อน เพราะเสียรสอันพิเศษไป
พาร์มิจาโน่ เรกจิอาโน่ เป็นชีสแสนอร่อย รสเข้ม รุ่นที่แก่สุด 36 เดือนนั้นมีสีทองเข้ม และ
เนื้อกรอบเป็นก้อนเหมือนแก้วคริสตัล รสเข้มและมีสัมผัสของผลไม้ นิยมเสิร์ฟเป็นก้อน ทาน
กับลูกมะเดื่อ หรือเป็นของว่างทานกับเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อย ร้านขายชีสชั้นดีบางทีก็นิยมขาย
พาร์มิจาโน่ เร็กจิอาโน่เป็นชุดๆ มีหลายๆรส ทั้งแบบชีสแก่และชีสอ่อน ดื่มกับไวน์แดงอิตาลี
คิอันติ หรือ คาแบร์เน่ต์ เข้ากันดีมาก แล้วยังมีพาร์มิจาโน่ เร็กจิอาโน่ ที่ทำจากวัวที่มีขนสีแดง 
อีกด้วย ว่ากันว่ามีมันเนยสูงกว่าวัวอื่นๆ และให้โปรตีนสูงกว่าด้วย 

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก

1.ชายหาดสุดระทึก Maho Beach - Saint Martin
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
ชาย หาดมาโฮ หาดสุดเสียวบนเกาะเซ้นท์มาร์ติน ในประเทศเนเธอร์แลนด์ เหตุเพราะชายหาดมีอาณาเขตติดกับสนามบิน St Maarten ดังนั้นระหว่างเริงร่าอยู่ริมหาดจะมีเครื่องบินโฉบเฉี่ยวอยู่เหนือศีรษะคุณ ให้ระทึกเป็นระยะๆ
2 .ชายหาดเปลือกหอย Shell Beach – Shark Bay, Australia
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
ชาย หาดเปลือกหอยอยู่ในอ่าวชาร์ก (Shark Bay) ประเทศออสเตรเลีย ชื่อ Shell Beach มาจากการที่มีเปลือกหอยเล็กๆปกคลุมอยู่เต็มหาด ด้วยเพราะน้ำทะเลมีความเค็มสูง ประกอบกับสภาพภูมิอากาศและพื้นที่เหมาะที่ประชากรหอยจะขึ้นมาอาศัยอยู่
 3 .ชายหาดแก้ว Glass beach – California, America
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
ชาย หาดแก้วแห่งนี้ เดิมที่เป็นที่ทิ้งขยะของรัฐแคลิฟอร์เนีย หลายสิบปีผ่านไป ขยะที่เป็นเศษแก้วถูกคลื่นซัดสาดหายไป จนกลายเป็นชายหาดแสนสวยอย่าวน่าอัศจรรย์
 4 .ชายหาดสีชมพู Pink Sand Beach – Bahamas
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
หาด ทรายสีชมพูนี้อยู่ในประเทศบาฮามาส สีชมพูนวลดั่งผลท้อนี้แท้จริงคือเปลือกหอยสีชมพูที่แตกละเอียด เมื่อต้องแสงแดดตอนเที่ยงก็ระยิบระยับ ยามพระอาทิตย์ตกดินลับขอบฟ้าก็ยิ่งขับสีชมพูบนผืนหาดให้ชัดเจน
 5 .หาดทรายสีดำ Punaluu Black Sand Beach – Hawai
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
หาดสีดำที่เกิดจากลาวาที่ไหลทะลักลงสู่ทะเลและเย็นตัวลง อีกทั้งที่นี่ยังมีชื่อเสียงว่าเป็นชายหาดของเต่าทะเลด้วย
 6. ชายหาดหาดทรายสีเขียว (Green sand beach) – Hawai
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
หาดทรายสีเขียวบนเกาะฮาวาย สีเขียวที่เห็นนั้นเป็นผลึกของหินโอลีวีน (Olivine) หรือแร่ของหินเพริโดไทต์ที่ผสมอยู่ในผืนทราย
 7 .ชายหาดขาวที่สุดในโลก Hyams Beach – Australia
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
ชายหาดทางตะวันออกของออสเตรเลีย ซึ่งได้รับการบรรทึกลงใน Guinness Book ว่าเป็นชายหาดที่ขาวที่สุดในโลก ด้วยเม็ดทรายละเอียดเนียนดั่งผงแป้ง เดินเล่นสุดนุ่มเท้า
 8. ชายหาดซากโบราณ Tulum Beach – Mexico
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
ชายหาดตูลัมบนคาบสมุทรยูคาตาน (Yucatan Peninsula) ประเทศแม็กซิโก กวักมือเรียกนักท่องเที่ยวได้ด้วยซากปรักหักพังของชาวมายาโบราณที่ทำให้หาดแห่งนี้น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
 9. ชายหาดที่ยาวที่สุดในโลก Coxbazar beach – Bangladesh
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
ชายหาดที่ได้รับการขนานนามว่ายาวที่สุดในโลกด้วยความยาว 120 กิโลเมตร ส่วนลำดับที่ 2 คือหาดคุจูคุริฮามะ ของประเทศญี่ปุ่นที่มีความยาว 60 กิโลเมตร
 10 .ชายหาดแพนกวินว่ายน้ำ Boulders beach - South Africa
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
ชายหาดแห่งนี้เป็นบ้านของแพนกวินแอฟริกา เราจะได้เห็นแพนกวินเดินสวนเล่นอยู่หาด บ้างก็ลงไปว่ายเริงร่าโต้คลื่น ดูเพลิดเพลินทีเดียว
 11 .ชายหาดแมวน้ำ Childrens pool beach – America
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
หาดทรายขาวธรรมชาติในซานติอาโก้ ที่เจ้าแมวน้ำอ๋งอ๋งจองเต็มพื้นที่แล้ว คนไม่มีสิทธิ์เข้ามา
12. ชายหาดรถวิ่งได้ Chirihama-Nagisa drive way – Japan
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
ปกติชายหาดมีไว้สำหรับให้คนได้ทำกิจกรรมความเพลิดเพลินต่างๆในยามมาเที่ยวทะเล โดยไม่มีรถหรือยานพาหนะใดๆเข้ามาได้ แต่สำหรับที่จิริฮามะ เราสามารถขับรถยนต์, ขี่มอเตอร์ไซด์ เข้าไปชมวิวสวยๆได้ บางทีอาจมีรถบัสคันใหญ่ผ่านเข้ามาด้วย
 13 .ชายหาดออนเซ็น Hot water beach – Newzealand
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
ชายหาดบนเกาะทางเหนือของนิวซีแลนด์ ยิ่งในช่วงเวลาน้ำลง ผู้คนจะมารวมตัวกันมากมาย และขุดหลุมหาดทรายให้เป็นสปาส่วนตัว
 14 .หาดโขดหิน Moeraki Boulders Beach – Newzealand
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
ชายหาดที่เต็มไปด้วยโขดหินกลมๆ ที่บางก้อนใหญ่และหนักถึง 3 ตันเลยทีเดียว
 15 .ชายหาดและทะเลที่เล็กที่สุดในโลก Playa de Gulpiyuri beach – Spain
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
วิวที่เห็นอยู่นี้อยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าที่มีระยะทางห่างจากชายฝั่ง 100 เมตร นี่ไม่ใช่ทะเลสาบ หากแต่เป็นน้ำเค็ม เป็นทะเลจริงๆ ถ้ำแคบๆที่เชื่อมต่อจากทะเลสามารถดูดน้ำทะเลเข้าไปได้
16. ชายหาดที่เต็มไปด้วยเสาหิน  Giants Causeway Beach, Ireland
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
Giants Causeway Beach นี้เป็นชายหาดที่เต็มไปด้วยเสาหินกว่า 40,000 แท่ง และยังได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโกในปี 1986 บนชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของไอร์แลนด์เหนืออีกด้วย ใครที่อยากไปเที่ยวที่นี่ต้องระวังหินทิ่มขากันสักหน่อย
17. ชายหาดในถ้ำ Cave Beach in Algarve, Portugal
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
นี่คือความสวยงามของถ้ำทะเลในโปรตุเกส เป็นอีกชายหาดหนึ่งที่ไว้มาชิลล์ๆ เบาๆ ชมความสวยงามของทะเลโปตุเกส
18. ชายหาดธารน้ำแข็งเย็นสุดขั้ว Jokulsarlon, Iceland
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
18 ชายหาด แปลกที่สุดในโลก อย่าเพิ่งตายหากยังไม่ได้ไป !!
โจกุลซาลอน เป็นทะเลสาบธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไอซ์แลนด์อยู่ระหว่างอุทยานแห่งชาติสเกฟตาลเฟลล์ (Skeftalfell National Park) และเมืองฮอฟน์ (Höfn) นักท่องเที่ยวไปเที่ยวที่นี่จะเห็นน้ำแข็งก้อนใหญ่ๆ ที่ละลายลงมาจากภูเขาน้ำแข็งด้านบน และไหลลงสู่ทะเล