วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์

"คนไทยรักข้าวไทย" กรีนพีซร่วมสนับสนุนให้คนไทยตระหนักถึงความสำคัญของข้าวไทย ข้าว อาหารหลักของคนไทย ผลิตผลการเกษตรส่งออกหลักของประเทศ ชาวนา กระดูกสันหลังของชาติ กำลังไดัรับผลกระทบอย่างรุนแรงจากข้าวดัดแปลงพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ของบริษัทเคมีเกษตร
ชาวนาไทยปลูกต้นกล้าข้าวอินทรีย์บนผืนนาที่กรีนพีซเลือก นาข้าวผืนนี้ขณะนี้ได้กลายเป็นศิลปะ หรือ "ศิลปะบนนาข้าว" ที่นำเสนอภาพชาวนาเกี่ยวข้าว ซึ่งเป็นพืชอาหารที่สำคัญที่สุดของโลก บัดนี้ข้าวออกรวมสีเหลืองถึงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว
เมื่อต้นปี กรีนพีซได้เชิญชวนให้คุณเป็นส่วนหนึ่งของงาน "ปลูกรักให้ต้นข้าว" ในวันแห่งความรัก เพื่อสร้างสรรค์ศิลปะบนนาข้าวอินทรีย์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ที่จังหวัดราชบุรีื โดยเชิญชวนให้มาช่วยปลูกข้าวในนาข้าว 2 สี (ข้าวสีทองกับข้าวก่ำสีดำ) ขนาด 10 ไร่ เพื่อสร้างศิลปะอันสวยงาม ที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตของเกษตรกรไทย ซึ่งเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของชาติ ในกิจกรรมงาน "ปลูกรักให้ต้นข้าว" เราได้ร่วมกันลงแขกดำนา พูดคุยเรื่องเกษตรกรรมอินทรีย์กับปราชญ์ข้าวไทย (คุณลุงทองเหมาะ แจ่มแจ้ง) และมีการสอนการทำสารสกัดจากธรรมชาติเพื่อใช้ควบคุมแมลงศัตรูพืช เช่น น้ำส้มควันไม้ ที่ชาวนาผลิตขึ้นเพื่อใช้ไล่แมลงในนาข้าว เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสามารถนำกลับไปใช้ได้กับต้นไม้ของที่บ้านได้ด้วย
แปลงข้าวนี้ ได้เติบโตเป็นภาพศิลปะจากธรรมชาิติที่สวยงามดังภาพนี้ ศิลปะนี้เกิดจากต้นข้าวจริงๆ ในพื้นที่ 10 ไร่ 
ณ บัดนี้ข้าวได้ออกรวงเป็นสีเหลืองแล้ว 

ปีนัง

“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า เล่าเรื่องราวหลากวัฒนธรรม
รถไฟรางที่นำขึ้นสู่ยอดปีนังฮิลล์
       พูดถึงความเก่านั้น ก็ใช่แต่จะหมายถึงด้านไม่ดีเสมอไป ของบางอย่างที่เป็นของเก่า ก็มีคุณค่าแบบที่ไม่สามารถประเมินราคาได้ หรือแม้แต่เมืองเก่าๆ ก็มีมนต์เสน่ห์ที่ทำให้หลายคนอยากเข้าไปสัมผัส อย่างเช่น “ปีนัง” หรือ รัฐปีนัง ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย
      
       นอกจากจะชอบเที่ยวในเมืองใหญ่ หรือออกไปตามป่าเขาลำเนาไพรแล้ว “ตะลอนเที่ยว” ก็ชอบเที่ยวเมืองเก่าด้วยเหมือนกัน เมื่อมีโอกาสดีมาถึงให้ได้ไปเยี่ยมเยือนปีนัง ก็ย่อมต้องไม่พลาดอย่างแน่นอน
      
       ก่อนจะตะลอนเที่ยวกันในเมืองปีนัง เรามาทำความรู้จักประวัติความเป็นมาของปีนังกันเสียหน่อย การท่องเที่ยวทริปนี้จะได้มีรสชาติมากยิ่งขึ้น
“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า เล่าเรื่องราวหลากวัฒนธรรม
เจดีย์เจ็ดชั้น
       “ปีนัง” นั้นเป็นหนึ่งในสิบสามรัฐของมาเลเซีย ในภาษามาเลย์จะเรียกว่า “ปูเลาปีนัง” (Pulau Penang) ซึ่งมาจากคำว่า “ปีนัง” ที่แปลว่า “ต้นหมาก” โดยในสมัยก่อนนั้นบนเกาะปีนังจะพบต้นหมากขึ้นอยู่มากมายนั่นเอง และหากพูดถึงรัฐปีนัง จะหมายรวมถึงพื้นที่บนเกาะปีนัง และ เซเบอรังเปอไร (Seberang Parai) บนแผ่นดินใหญ่
      
       เกาะปีนังถูกค้นพบโดย กัปตันฟรานซิส ไลท์ (Captain Fransis Light) ชาวอังกฤษ ต่อมาในปี ค.ศ.1786 กัปตันไลท์ก็ได้รับมอบเกาะปีนังจากสุลต่านแห่งรัฐเคดาห์ ในนามของบริษัทอีสต์ อินเดีย คอมพานี ด้วยการทำสัญญาว่าจะปกป้องแผ่นดินนี้จากสยามประเทศ ซึ่งเขาก็ได้เปลี่ยนชื่อเกาะเสียใหม่ว่า “Prince of Wales Island” เนื่องด้วยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเกิดของเจ้าชายแห่งเวลส์
      
       ต่อมาไม่นาน กัปตันไลท์ก็ได้ตั้ง “จอร์จทาวน์” (George Town) ขึ้นมา เพื่อให้เป็นเมืองท่าปลอดภาษี ซึ่งก็มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ทำให้จอร์จทาวน์มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และมีการเปิดสอนภาษาอังกฤษเป็นครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนในสมัยนั้นคนไทยที่พอมีฐานะนิยมจะส่งลูกหลานไปเรียนที่ปีนังเพื่อให้ได้เรียนภาษาอังกฤษ
“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า เล่าเรื่องราวหลากวัฒนธรรม
เจ้าแม่กวนอิม ที่วัดเค็กลกซี
       ในปัจจุบัน ปีนังถูกกล่าวขานว่าเป็นไข่มุกแห่งตะวันออก เนื่องจากมีบ้านเมืองที่สวยงามและโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะบนเกาะปีนังที่เราจะมาเที่ยวตะลอนกันในคราวนี้ และถ้าอยากจะเห็นว่าบ้านเมืองโดยรวมของเกาะปีนังเป็นอย่างไรบ้างนั้น ก็ต้องขึ้นมาที่ “ปีนังฮิลล์” (Penang Hill / Bukit Bendara) เนื่องจากเป็นจุดที่สูงที่สุดบนเกาะปีนัง
      
       การจะขึ้นไปสู่ยอดเขาปีนังฮิลล์ที่มีความสูงประมาณ 830 เมตรจากระดับน้ำทะเลนั้น จะต้องใช้บริการรถไฟรางเพื่อไต่ระดับขึ้นไป ระหว่างที่รถไฟเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ก็จะผ่านสวนป่าที่มีต้นไม้ดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ ดูแล้วสดชื่นสบายตาจากความเขียวชอุ่ม
“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า เล่าเรื่องราวหลากวัฒนธรรม
ทิวทัศน์รอบๆ ปีนัง
       พอขึ้นไปถึงด้านบนสุดก็จะได้สูดอากาศบริสุทธิ์เย็นสบาย พร้อมกับชมทิวทัศน์ที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งจะเห็นทั้งจอร์จทาวน์ ที่ในปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของรัฐปีนัง ไปจนถึงชายฝั่งทะเล ขึ้นมาถึงด้านบนแล้วก็ต้องใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศดีๆ มากสักหน่อย แล้วค่อยลงมาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ กันบ้าง
      
       ด้วยเหตุที่มาเลเซียมีประชากรหลากหลายเชื้อชาติมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน จึงทำให้วิถีชีวิต อาหารการกิน บ้านเรือน และบรรยากาศในเมืองนั้นเต็มไปด้วยการผสมผสานของวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่ก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างลงตัว ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในปีนังนี่เอง
“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า เล่าเรื่องราวหลากวัฒนธรรม
อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 1
       เริ่มแรกนั้น ลองไปสัมผัสวัฒนธรรมและความเชื่อของชาวมาเลเซียเชื้อสายจีนกันก่อนที่ “วัดเค็กลกซี” (Kek Lok Si Temple) หรือ วัดเขาเต่า หากใครจะขึ้นมาให้ถึงที่วัดนี้ ต้องใช้ทั้งแรงกายและแรงใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากทางขึ้นมายังวัดนั้นเป็นบันไดเดินขึ้นเนินเขาเรื่อยๆ ระยะทางไม่ใกล้ไม่ไกลมากนัก แต่ก็พอให้รู้สึกว่าเหงื่อเริ่มซึม และระหว่างทางเดินขึ้นก็จะผ่านร้านค้า ร้านขายของฝากที่กวักมือเรียกให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายเข้าไปเยี่ยมชม
      
       ผ่านจากบรรดาร้านค้ามาได้ ก็จะมาถึงบ่อเต่าขนาดใหญ่ ที่มีเต่าตัวใหญ่นอนกองรวมกันอยู่ ด้านนอกบ่อก็จะมีคนขายผักบุ้งร้องเรียกให้ซื้อเพื่อทำบุญให้เต่าตาดำๆ มีทั้งภาษามาเลย์ ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ แถมยังมีซับไตเติ้ลภาษาไทย สำหรับนักท่องเที่ยวหน้าตาไทยแท้ๆ อย่างเราอีกด้วย ใครที่ใจบุญสงสารพี่เต่า หรือทนเสียงเรียกร้องของพ่อค้าไม่ไหวก็แวะให้อาหารเต่ากันเสียหน่อย แล้วค่อยออกเดินต่อไปยังวัด
“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า เล่าเรื่องราวหลากวัฒนธรรม
อาคารทาวน์ฮอลล์
       มาถึงทางเข้าวัดแล้วก็จะผ่านร้านขายของฝากของทางวัด ที่มีทั้งเครื่องรางของขลัง และของฝากมากมาย จากนั้นก็เป็นบันไดทางขึ้นไปอีกเล็กน้อย ก่อนจะถึงตัววัดเสียที
      
       มองเข้าไปในวัดแล้วจะได้กลิ่นอายสถาปัตยกรรมแบบจีนอย่างเต็มเปี่ยม แม้จะมีผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาท่องเที่ยวที่วัดแห่งนี้ แต่คนส่วนใหญ่ก็มาด้วยใจศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งคนที่มาที่นี่ นิยมมาไหว้พระและเทพเจ้าองค์ต่างๆ
      
       เริ่มจากจุดที่น่าสนใจมากอีกจุดหนึ่งภายในวัดแห่งนี้ ก็คือ เจดีย์เจ็ดชั้น ที่มีความงดงามจากการผสมผสานศิลปะจาก 3 ชาติ คือ ฐานเจดีย์เป็นแบบจีน ตัวเจดีย์เป็นแบบไทย และยอดเจดีย์เป็นแบบพม่า โดยจะมีการตกแต่งด้วยพระพุทธรูปสำริดและพระพุทธรูปศิลาขาวทั้งหมด 10,000 องค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความสามัคคีระหว่างนิกายมหายานและเถรวาท
      
       หลังจากชมเจดีย์ที่งดงามแล้ว ก็ตรงเข้าไปไหว้พระและเทพเจ้าองค์ต่างๆ ที่ด้านใน ซึ่งก็ต้องขึ้นบันไดไปอีกเล็กน้อย จากนั้นก็มาถึงไฮไลต์สำคัญของวัดเค้กลกซี ก็คือ องค์เจ้าแม่กวนอิมที่อยู่ด้านบนสุดของวัด โดยจะต้องขึ้นรถรางต่อขึ้นไปอีก
“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า เล่าเรื่องราวหลากวัฒนธรรม
ป้อมคอร์นเวลลิส
       สำหรับองค์เจ้าแม่กวนอิมเป็นรูปหล่อสำริด ที่มีความสูงราว 30 เมตร ตั้งตระหง่านงดงามอยู่ที่ด้านบนสุดของวัด ซึ่งบริเวณรอบๆ นั้นก็มีการตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับอย่างงดงาม สามารถชมทัศนียภาพรอบๆ เกาะปีนังได้สะดวก และข้างๆ กันนั้นก็มีศาลาประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิมไม้แกะสลักให้เข้าไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลกันอีกด้วย
      
       ผู้คนที่ทยอยกันเข้ามายังวัดแห่งนี้ มีทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ และชาวมาเลเซียที่อุ้มลูกจูงหลานเข้ามา เรียกได้ว่าวัดเค็กลกซี เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของปีนัง และยังมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะวัดที่มีขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่หากมาเยือนปีนังแล้วก็ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว
“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า เล่าเรื่องราวหลากวัฒนธรรม
บรรยากาศในย่านลิตเติ้ลอินเดีย
       ได้ไหว้พระทำบุญกันแล้ว ก็มาลองสัมผัสกับเมืองเก่าทรงเสน่ห์ ที่ยังเป็นจุดดึงดูดใจของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกกันดูบ้าง ที่นี่คือ “จอร์จทาวน์” (George Town) เมืองหลวงของรัฐปีนัง และยังได้รับเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกพร้อมกับมะละกา ในปี ค.ศ.2008 จากสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และได้รับการสืบทอดมาอย่างยาวนาน
      
       การท่องเที่ยวภายในจอร์จทาวน์ต้องใช้เวลาในการซึมซับบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออกอย่างลงตัว “ตะลอนเที่ยว” จึงเลือกวิธีการเดินเท้า เดินชมตึกรามบ้านช่องตามรายทางไปเรื่อยๆ นอกจากจะได้ชื่นชมกับบ้านช่องที่มีร่องรอยของอดีตอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ก็ยังได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในย่านจอร์จทาวน์อีกด้วย
“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า เล่าเรื่องราวหลากวัฒนธรรม
ขนมแบบอินเดียก็มีขาย
       เราเริ่มต้นการเดินกันที่บริเวณ “เอสพลานาร์ด” ลานโล่งๆ ริมทะเลที่จัดตกแต่งเป็นสัดส่วนสบายตา โดยบริเวณนั้นจะมี “อนุสรณ์สงครามโลกครั้งที่ 1” (The Cenotaph) อยู่ด้านข้าง ส่วนใกล้ๆ กันนั้นก็เป็นอาคารเก่าที่เคยใช้เป็น “ทาวน์ฮอลล์” (Town Hall) และ “ซิตี้ฮอลล์” (City Hall) โดยอาคารซิตี้ฮอลล์ จะเป็นอาคารสีขาวสไตล์โคโลเนียล โดดเด่นด้วยเสาแบบกรีกและหน้าต่างบานใหญ่ ส่วนทาวน์ฮอลล์ จะเป็นอาคารสีเหลืองอ่อนสลับขาว สถาปัตยกรรม British Empire
      
       เดินข้ามมาอีกฝากหนึ่งก็จะเห็นปืนกระบอกใหญ่ตั้งอยู่ด้านหลังกำแพงสูง ซึ่งบริเวณนี้มีชื่อเรียกว่า “ป้อมคอร์นเวลลิส” (Fort Cornwallis) ที่หากเข้าไปเดินชมภายในแล้วก็จะสามารถมองเห็นโครงสร้างเก่าแก่ที่ยังหลงเหลืออยู่ เช่น โบสถ์ คลังเก็บดินปืน ประภาคาร และยังมีปืนเก่าชื่อ “เสรีรัมใบ” ซึ่งเป็นปืนใหญ่ของฮอลันดาที่มอบให้เป็นของกำนัลแก่สุลต่านยะโฮร์ แต่ถูกโปรตุเกสชิงไปแล้วส่งต่อไปยังชวา สุดท้ายอังกฤษก็นำกลับมาไว้ที่นี่
“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า เล่าเรื่องราวหลากวัฒนธรรม
มัสยิดกาปิตัน เคลิง
       ได้รับบรรยากาศแบบตะวันตกกันไปบ้างแล้ว ก็ขอเดินต่อมาเรื่อยๆ ยังบริเวณที่มีกลิ่นอายแบบตะวันออกบ้าง แบบนี้ก็ต้องมาที่ “ลิตเติ้ลอินเดีย” (Little India) ชุมชนของชาวอินเดียที่มีทั้งโบสถ์ฮินดูเก่าแก่ บ้านเรือนที่ตกแต่งในสไตล์อินเดีย มีร้านขายอาหารของคาวของหวานแบบอินเดีย หรือจะดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสืออินเดีย ที่มีก็มีครบทุกสิ่ง แถมยังเห็นสาวอินเดียห่มส่าหรีสีสันสวยสดเดินผ่านไปผ่านมา ได้อารมณ์เดินในเมืองหนึ่งในประเทศอินเดีย มากกว่าจะอยู่ที่ปีนังเสียอีก 
       แต่ถึงจะเป็นชุมชนอินเดีย บริเวณใกล้ๆ กันนั้นก็ยังมี “วัดเจ้าแม่กวนอิม” ที่สร้างขึ้นโดยชาวจีนฮกเกี้ยนและชาวจีนกวางตุ้งกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาตั้งรกรากบนเกาะปีนัง น่าเสียดายว่าตอนที่เราไปถึงภายในวัดกำลังทำการปรับปรุงอยู่ จึงสามารถชมความงดงามของวัดได้แค่เพียงภายนอกเท่านั้น

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

สุสาน แปร์ ลาแชส (Cimetiere du Pere-Lachaise)

สุสาน แปร์ ลาแชส (Cimetiere du Pere-Lachaise) ที่มีหลุมฝังศพทั้งสิ้นกว่า 33,000 หลุม หนึ่งในนี้มีหลุมศพของอดีตนักเขียนชาวฝรั่งเศส "Victor Nior" ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญพันธุ์ไปซะแล้ว เพราะมีผู้หญิงหลายคนมาที่นี่ เพื่อมาจูบที่ปากรูปปั้นของเขา และลูบคลำที่เป้าของรูปปั้นเพื่อหวังว่าจะทำให้มีลูกดังใจ ไปจนถึงเรื่องบนเตียงก็ไร้ปัญหา จะเห็นได้ว่าบริเวณเป้าและปากของรูปปั้นมีสีไม่สม่ำเสมอกับส่วนอื่นๆ แถมผู้หญิงบางคนยังใจกล้าถึงขั้นปีนขึ้นไปบนรูปปั้นเพื่อทำอนาจาร จนเจ้าหน้าที่ต้องทำแผงกั้น เพื่อไมให้เกิดเรื่องน่าอายมาแล้ว




วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ประเทศโมร็อกโก

ประเทศโมร็อกโก หรือ ราชอาณาจักรโมร็อกโก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีอาณาเขตติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมหาสมุทรแอตแลนติก มีช่องแคบยิบรอลตาร์แบ่งกั้นกับประเทศสเปน โมร็อกโกเป็นประเทศที่มีความแตกต่างจากประเทศอื่น ๆ ในทวีปเดียวกันอย่างมาก ซึ่งมีทั้งความทันสมัยและความเจริญรุ่งเรืองกว่า เนื่องจากครั้งหนึ่งประเทศทางยุโรปอย่างสเปนและฝรั่งเศส เคยเข้ามามีบทบาทในทางการเมืองและการปกครอง จึงนำเอาวัฒนธรรมต่าง ๆ เข้ามาเผยแพร่ด้วย จึงทำให้ดินแดนแห่งนี้มีความเป็นยุโรปอยู่มาก

          แต่ประชากรมีหลากหลายชาติพันธุ์ผสมผสานกัน ทั้งชนชาตินิกรอยหรือแอฟริกันนิโกร คอเคซอยด์ ได้แก่ชาวอาหรับ และชาวยุโรป ชนพื้นเมืองคือชาวเบอร์เบอร์ หากจะเรียกว่าเป็นแดนอาหรับก็น่าจะได้ เพราะมีความคล้ายคลึงกับประเทศแถบตะวันออกกลางเช่นกัน คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม แต่ก็มีชาวยิวอยู่เป็นจำนวนมาก คนที่นี่บอกว่าพวกเค้าอาจเป็นอิสลามที่ไม่เคร่งครัดที่สุดในโลกก็ได้ เพราะเค้าเลี้ยงสุนัข ดื่มไวด์ และสูบบุหรี่ด้วย แล้วสาว ๆ ที่นี่ก็เปรี้ยวจี๊ด นุ่งน้อยห่มน้อย ก็คงจะได้รับวัฒนธรรมจากยุโรปอยู่มากโขทีเดียว 

          โมร็อกโกยังคงมีความเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์ และงดงามอยู่มาก เนื่องจากยังไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนัก จึงเป็นประเทศที่น่าสนใจในการไปเยือน รวมถึงสถานที่เที่ยวก็มีมากมายหลายเมือง อย่าง เมืองท่าคาซาบลังกา ที่มีชื่อเสียงที่สุดของโมร็อกโก

โมร็อกโก

          เมืองคาซาบลังกา แต่เดิมเป็นเมืองท่าเล็ก ๆ แต่เนื่องจากมีกองถ่ายภาพยนต์ยกกองมาถ่ายทำกันที่เมืองนี้ แล้วก็มีเพลงเกี่ยวกับเมืองนี้ด้วย เมื่อหลายสิบปีก่อน จึงเริ่มเป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไป จนทำให้ทุกวันนี้ เมืองคาซาบลังกากลายเป็นเมืองท่า ศูนย์กลางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศที่สำคัญ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอีกด้วย หากมาเที่ยวเมืองนี้ก็จะได้เห็นสาว ๆ นุ่งสั้น ใส่สายเดี่ยว เอวลอย พูดคุยกับชายหนุ่มอย่างเปิดเผย ซึ่งต่างจากชาวมุสลิมทั่วไป

โมร็อกโก

          เมืองคาซาบลังกามีสถานที่เที่ยวมากมาย อย่าง ตลาดกลาง (Central Market) ซึ่งมีอาหารทะเลสด ๆ ใหม่ ๆ คุณภาพเต็มปากเต็มคำจากท้องทะเลแถบเมดิเตอร์เรเนียน มาวางเรียงรายขายกันทั้งตลาด สำหรับนักช้อปก็ต้องไปที่ย่าน Habous District ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งศูนย์รวมนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องมาเยือนที่นี่

โมร็อกโก

          ย่านไอน์เดียบ (Ain Diab) สถานที่พักตากอากาศของผู้มีอันจะกิน และผู้มีชื่อเสียงในสังคม เป็นชายหาดริมทะเลแถบมหาสมุทรแอตแลนติก ในเมืองคาซาบลังกา ซึ่งดาราฮอลลีวูดชื่อดังหลายคนก็มีบ้านพักอยู่ในย่านนี้ นอกจากทิวทัศน์ที่งดงามแล้ว ย่านนี้ยังมีภัตตาคาร ร้านอาหารหรูหราราคาแพงอยู่มากมาย สมกับเป็นย่านคนรวยจริง ๆ

โมร็อกโก

          เมืองมาร์ราเกซ (Marrakesh) เป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสองรองจาก คาซาบลังกา และเป็นหนึ่งในสี่เมืองแห่งราชอาณาจักร อิมพีเรียลซิตี้ ได้แก่ ราบัต เพซ เมกเนส และมาร์ราเกซ

โมร็อกโก

          มาร์ราเกซเป็นเมืองที่มีสีสันแห่งชีวิต โดยเฉพาะจัตุรัสเก่าแก่ใจกลางเมืองอย่าง เจมา เอล ฟนา (Djemaa El Fnaa) เปรียบเสมือนเวทีกลางแจ้งที่มีสีสันแห่งชีวิตของเหล่านักแสดงโชว์การละเล่นพื้นเมือง และเป็นที่ทำมาหากินของนักมายากล หมองู ช่างขัดรองเท้า แถมมีบริการถอนฟันด้วย จึ๋ย… แต่ที่โดดเด่นเห็นจะเป็น รถเข็นขายน้ำส้มคั้นสด ๆ จอดขายกันเรียงรายตลอดทางย่านนี้

          เสน่ห์ของมาร์ราเกซอยู่ที่การกำหนดของรัฐบาล โดยให้ทุกบ้านเรือนในเมืองนี้ทาสีส้มได้เพียงสีเดียวเท่านั้น สีจะออกเหมือนสีส้มอิฐ เมื่อกระทบกับแสงแดดก็จะสะท้อนออกเป็นสีอมชมพู คนที่นี่เค้าเลยเรียกเมืองนี้ว่า "เมืองสีชมพู" ก็น่ารักดี

โมร็อกโก

โมร็อกโก

          หากเบื่อในเมืองแล้ว สามารถออกไปสัมผัสธรรมชาตินอกเมืองกันต่อที่ หุบเขาโอริก้า บนเทือกเขาไฮแอตลัส (High Atlas Mountains) ซึ่งออกจากตัวเมืองมาร์ราเกซไปทางตอนใต้ประมาณ 60 กิโลเมตร เทือกเขาไฮแอตลัส เป็นแนวเทือกเขาที่มีความสำคัญที่กั้นเมืองมาร์ราเกซกับทะเลทรายซาฮารา มีระดับความสูงกว่า 3,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งมีความหลากหลายของลักษณะอากาศ ที่มีทั้งความชื้นและแห้งแล้ง ตามแนวเชิงเขาเขตแห้งแล้ง เราสามารถพบเห็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ของชาวโมร็อกโก ที่มีการปลูกสร้างอย่างกลมกลืนไปกับธรรมชาติอยู่ตลอดแนว ช่างเป็นเหมือนภาพเขียนที่งดงามน่าประทับใจ

โมร็อกโก

          มาถึงโมร็อกโกหากไม่พูดถึงเมือง เฟซ (Fes) ก็คงไม่ได้ เพราะเมืองนี้เป็นเมืองเก่าประดุจเขาวงกต ที่มีความซับซ้อนในการปลูกสร้างบ้านเรือนที่ย้อนยุคไปกว่าพันปี มีตรอกซอกซอยกว่า 9,000 แขนง ความลึกลับซับซ้อนกลับกลายเป็นมนต์เสน่ห์ที่ล่อให้นักท่องเที่ยวไปติดกับจนยากที่จะหาทางออก เมืองนี้ยังมีการใช้ลาเป็นพาหนะอยู่ แหม…ช่างเหมือนเดินอยู่ในดินแดนแห่งนิยายปรัมปราแบบอาหรับเสียจริง

โมร็อกโก

          อาหารโมร็อกโกมีความแตกต่างจากอาหารแนวเมดิเตอร์เรเนียนในแถบยุโรป ซึ่งดูคล้ายกับมีความเป็นอาหรับเข้ามาช่วยเสริม แต่มีจุดเด่นเฉพาะตัวคือจะเสริฟมาในภาชนะที่มีฝาปิด เรียกว่า ทาจีน (Tagine) เป็นโลหะที่ทนและเก็บความร้อน เค้าจะใช้ภาชนะนี้ตั้งไฟปรุงอาหาร เมื่อปรุงเสร็จก็ยกมาเสริฟแบบนั้นเลย

โมร็อกโก

          อาหารจานหลักของโมร็อกโกคือ Seafood Tagine มีปลา หอยเชลล์ หอยแมลงภู่ หอยตลับ ปลาหมึก กุ้ง ก็คือรวมปาร์ตี้ซีฟู๊ดนั่นแหละ (เนื่องจากมีน่านน้ำในการหาปลาเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อาหารทะเลจึงมีมากมาย) แล้วก็ใส่มันฝรั่ง มะเขือเทศ แครอท มะกอก เครื่องเทศ และส่วนผสมอีกมากมาย โป๊ะมาบนข้าว หน้าตาน่ากิน

          โมร็อกโกยังมีความงามของธรรมชาติที่สมบูรณ์อยู่หลายแห่ง และยังเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมที่น่าสนใจ อีกทั้งสถาปัตยกรรมก็ยังคงรูปแบบเก่าแก่มาหลายร้อยปี จึงเป็นอีกหนึ่งประเทศมหาเสน่ห์ที่น่าไปเยือน