วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ลามาร์แซแยซ



ลามาร์แซแยซ (ฝรั่งเศสLa Marseillaise, "เพลงแห่งเมืองมาร์แซย์") เป็นชื่อของเพลงชาติสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ประพันธ์คำร้องและทำนองโดยโกลด โฌแซ็ฟ รูเฌ เดอ ลีล เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2335 ที่เมืองสทราซบูร์ในแคว้นอาลซัส เดิมเพลงนี้มีชื่อว่า "Chant de guerre de l'Armée du Rhin" (แปลว่า "เพลงมาร์ชกองทัพลุ่มน้ำไรน์") เดอลีลได้อุทิศเพลงนี้ให้แก่นายทหารชาวแคว้นบาวาเรีย (อยู่ในประเทศเยอรมนีในปัจจุบัน) ซึ่งเกิดในประเทศฝรั่งเศสผู้หนึ่ง คือจอมพลนีกอลา ลุคเนอร์ (Nicolas Luckner) เมื่อกองทหารจากเมืองมาร์แซย์ได้ขับร้องเพลงนี้ขณะเดินแถวทหารเข้ามายังกรุงปารีส ทำให้เพลงนี้เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป และกลายเป็นเพลงปลุกใจในการร่วมปฏิวัติฝรั่งเศส ทั้งยังเป็นที่มาของชื่อเพลงลามาร์แซแยซดังปรากฏอยู่ในปัจจุบันด้วย
สมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศสได้ออกประกาศรับรองให้เพลงลามาร์แซแยซเป็นเพลงชาติฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2338ต่อมาเพลงนี้ได้ถูกงดใช้ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศสที่ 1 และ พระเจ้าหลุยส์ที่ 18และมีการนำเพลงอื่นมาใช้เป็นเพลงชาติฝรั่งเศสแทนในระยะเวลาดังกล่าวแทน โดยรัชสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ใช้เพลงชาติที่ชื่อว่า Veillons au Salut de l'Empire และ โดยรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ใช้เพลงชาติที่ชื่อว่า Le Retour des Princes Français à Paris หลังการปฏิวัติในปี พ.ศ. 2373 เพลงนี้ก็ได้กลับมาใช้เป็นเพลงชาติในระยะสั้น ๆ แต่ก็งดใช้อีกครั้งในสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ตราบจนกระทั่งฝรั่งเศสเข้าสู่สมัยสาธารณรัฐที่ 3เพลงนี้จึงได้รับการรับรองให้เป็นเพลงชาติอย่างถาวรเมื่อ พ.ศ. 2422[1]


File:Pils - Rouget de Lisle chantant la Marseillaise.jpg

อิทธิพลของลามาร์แซแยซ

เพลงลามาร์แซแยซได้ถูกใช้เป็นเพลงปฏิวัติฝ่ายสาธารณรัฐโดยชาวรัสเซียซึ่งรู้ภาษาฝรั่งเศสในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 ซึ่งไล่เลี่ยกับช่วงเวลาการปฏิวัติในฝรั่งเศส ถึงปี ค.ศ. 1875 ปีเตอร์ ลัฟรอฟ (Peter Lavrov) นักปฏิวัติและนักทฤษฎีกลุ่ม Narodism ได้เขียนเพลงโดยใส่เนื้อร้องภาษารัสเซียขึ้นใหม่ตามทำนองเพลงลามาร์แซแยซ และให้ชื่อเพลงว่า "มาร์แซแยซของกรรมกร"("Rabochaya Marselyeza", "Worker's Marseillaise") ซึ่งเพลงนี้ได้กลายเป็นเพลงปฏิวัติยอดนิยมเพลงหนึ่งในรัสเซียและได้มีการใช้ในการปฏิวัติรัสเซีย ค.ศ. 1905ต่อมาเมื่อเกิดการปฏิวัติรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1917 เพลงนี้ก็ได้มีลักษณะเป็นกึ่งเพลงชาติของสาธารณรัฐที่ตั้งขึ้นใหม่ หลังเหตุการณ์การปฏิวัติเดือนตุลาคมซึ่งเกิดขึ้นในปีเดียวกัน เพลงนี้ก็ยังคงใช้เป็นเพลงปฏิวัติควบคู่กับเพลงแองเตอร์นาซิอองนาล[3]
สำหรับประเทศไทย เพลงลามาร์แซแยซได้เป็นแรงดลใจให้คณะราษฏรคิดเพลงชาติขึ้นใหม่ในช่วงการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475[4] และยังมีการนำทำนองไปใช้ในเพลงมาร์ชต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียง อันได้แก่ เพลง "มาร์ช ม.ธ.ก." ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ม.ธ.ก. เป็นอักษรย่อนามมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อครั้งยังใช้ชื่อว่า "มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง") ซึ่งประพันธ์โดยทวีป วรดิลก ในช่วงพุทธทศวรรษที่ 2490 และเพลง "มาร์ชลาดยาว" ซึ่งประพันธ์โดย จิตร ภูมิศักดิ์ ขณะที่เขาถูกคุมขังในเรือนจำลาดยาว (เรือนจำคลองเปรม) ด้วยคดีการเมือง ระหว่างปี พ.ศ. 2503 - 2505 เพื่อใช้ร้องในงานรื่นเริงภายในคุก

วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของประเทศฟิลิปปินส์


สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจของประเทศฟิลิปปินส์มีดังนี้

สวนไรซาล

          สวนไรซาล "Rizal Park" หรือเรียกอีกชื่อว่า "ลูเนต้า" Lunetaเป็นสวนหย่อมขนาดใหญ่ของกรุงมะนิลา และภายในสวนยังเป็นที่ตั้งอนุสาวรีย์ของ โฮเซ ริซัล "Jose Rizal " ซึ่งเป็นผู้นำในการปลดแอกฟิลิปปินส์จากสเปนในช่วงปี คศ.1896-1898และในบริเวณเดียวกันก็เป็นจุดที่ฟิลิปปินส์ประกาศอิสรภาพเหนือสหรัฐอเมริกา ในปี คศ.1941และอนุสาวรีย์นี้ยังมีความสำคัญในฐานะเป็นหลักกิโลเมตรสำหรับนับระยะถนนทุกสายบนเกาะลูซอนอันใหญ่โตที่สุดของฟิลิปปินส์อีกด้วย

 

ป้อมซานติเอโก
          ป้อมซานติเอโก ซึ่งเป็นด่านแรกที่ป้องกันการโจมตีจากข้าศึก ที่เข้ามาทางปากแม่น้ำปาซิก จากอ่าวมะนิลา ป้อมแห่งนี้ถูกทำลายจากการโจมตีของกองทัพสหรัฐ ต่อมาได้บูรณะซ่อมแซมเพื่อให้เป็น "ปูชนียสถานแห่งเสรีภาพ " (Shrine of Freedom) บริเวณรอบป้อมมีสวนหย่อม รายล้อมโดยมีรถม้าให้บริการ พาชมรอบบริเวณ บริเวณดังกล่าว ยังมีสถานที่คุมขังนักโทษ ที่อยู่บริเวณริมแม่น้ำปากแม่น้ำปาซิก และส่วนหนึ่งของป้อมนี้ ถูกทำเป็นสนามกอล์ฟอย่างสวยงาม
 
    

เมืองมาคาติ

         มาคาติ แหล่งช็อปปิ้งที่มีชื่อเสียงและเป็นย่านธุรกิจชั้นนำของกรุงมะนิลา ที่มีโรงแรมระดับ ดาวมากมาย รวมไปถึง ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ถึง แห่ง โดยปกติร้านค้าจะเปิดเวลา 10.00-20.00 น.  แถมท้ายอีกนิด ขอแนะนำร้านค้าที่เหมือนกับร้านโชว์ห่วยบ้านเรา ซึ่งเป็นกิจการภายในครอบครัว เรียกว่า Sari Sari Storeซึ่งจะอยู่ตามหัวมุมถนนต่างๆ การเดินทางไปเมืองมาคาติ เมืองมาคาติตั้งอยู่ทางใต้ของกรุงมะนิลา

 

ปักซังฮัน

         ปักซังฮัน ซึ่งเป็นแหล่งล่องแก่งชั้นยอด นักท่องเที่ยวส่วนมากจะมาเปลี่ยนชุดเพื่อว่ายน้ำ หรือกางเกงขาสั้น เล่นน้ำตกปักซังฮัน แล้วทวนน้ำขึ้นไปกับเรือ ซึ่งท่านจะเพลิดเพลินกับการผจญภัยกับการนั่งเรือทวนน้ำ เรือบันกา ซึ่งบ่อยครั้ง อาจจะเกยตื้น หรือติดแก่งจนทำให้คนเรือต้องลงมาผลักหรือยกเรือเพื่อไปชมน้ำตก พร้อมทั้งได้ชื่นชมความสดชื่นของน้ำที่ไหลผ่าน ชมความสวยงามของธรรมชาติ ที่สรรค์สร้างได้อย่างลงตัว ในตอนล่องเรือผ่าน้ำเชียวขากลับนั้น คุณจะรู้สึกสนุกตื่นเต้นอย่าบอกใครเลยทีเดียว
 

 
อินทรามูรอส

         อินทรามูรอส มีลักษณะเป็นป้อมปราการและกำแพงคูเมือง เป็นศูนย์กลางในการปกครอง การศึกษา วัฒนธรรม ศาสนา และการค้าในช่วงศตวรรษที่ 16 ถึงปลายศตวรรษที่ 19 ภายในพื้นที่ ประมาณ395 ไร่ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงหินสูง ประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัย โบสถ์ โรงเรียน และสถานที่ราชการ รวมทั้งสถานที่น่าชม การเดินทางไปอินทรามูรอส อินทรามูรอสตั้งอยู่ในกรุงมะนิลา

 

Boracay Island

          เป็นหนึ่งในเกาะในหมู่เกาะที่ดีที่สุดทั่วฟิลิปปินส์ และได้ประกาศเกาะที่สวยที่สุดทั่วโลก Boracay Islandเป็นเกาะเขตร้อนตั้งอยู่ประมาณ 315 กิโลเมตร ทางใต้ของมะนิลาและสองกิโลเมตรปิดปลายตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะPanay ใน Visayas ภาคตะวันตกของฟิลิปปินส์ Boracayเป็นส่วนหนึ่งของเทศบาลเมืองของมาเลย์ในจังหวัด Aklan ซึ่งตั้งอยู่ใน Panayหนึ่งในกลุ่มของหมู่เกาะที่แสดงในส่วนกลางของหมู่เกาะฟิลิปปินส์ Boracayมีสองหาดท่องเที่ยวหลัก White Beach และ Bulabog Beachซึ่งตั้งอยู่ด้านตรงข้ามของสัญญาของเกาะกลางทะเล White Beachใบหน้าไปทางตะวันตกเป็นหากท่องเที่ยวหลักจะเกี่ยวกับสำหรับระยะยาวเรียงรายไปด้วยรีสอร์ทโรงแรมบ้านที่พักร้านอาหารและธุรกิจท่องเที่ยวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

ทะเลสาบตาอัล
         ทะเลสาบชื่อ ตาอัล ซึ่งมีภูเขาไฟอยู่กลางทะเลสาบด้วย บนภูเขานี้มีชุมชนที่อยู่อาศัย บ้านพักตากอากาศ และร้านอาหารหลายร้าน อากาศเย็นสบาย วิวสวย ทางตอนบนของมะนิลา มีสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่นิยมมากอยู่แห่งหนึ่งเรียกว่า ทะไกไต ที่นั่นมีทะเลสาบขนาดใหญ่ มีเทือกเขาล้อมรอบ ในทะเลสาบก็มีเกาะเล็กๆสองสามเกาะ และที่สำคัญที่สุดคือมีภูเขาไฟเล็กที่สุดและอันตรายที่สุดชื่อว่า TAAL VOLCANO ภูเขาไฟนี้ยังไม่ดับสนิท เพราะฉะนั้นจึงมีโอกาสระเบิดขึ้นมาได้ทุกเมื่อ นี่แหละอาจเรียกได้ว่าเป็นเสน่ห์แบบสวยประหารของภูเขาไฟลูก
        

ปาลาวัน หมู่เกาะในฟิลิปปินส์

        ปาลาวัน เป็นหมู่เกาะของที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในฟิลิปปินส์ มีชื่อเสียงและเป็นที่ชื่นชอบของบรรดานักท่องเที่ยวธรรมชาติทั่วโลก ท้องทะเลที่สวยงาม บนหาดทรายขาวสะอาดเป็นเอกลักษณ์ และยังเป็นเป้าหมายหลักของนักดำน้ำ เพื่อดูปะการังและสัตว์ต่างๆ ใต้ท้องทะเลอีกด้วย บนเกาะปาลาวันมีแหล่งท่องเที่ยวมากมายหลายพื้นที่ แต่ละพื้นที่ก็จะมีรีสอร์ท ทะเลทรายและกิจกรรมต่างๆ ให้เข้าร่วมแต่กต่างกันออกไปพื้นที่ที่เป็นที่ินิยมของนักท่องเที่ยวต่างๆ
          ปาลาวัน เป็นจุดศูนย์กลางของนักเดินทาง ที่ต้องการมาเที่ยวปาลาวันและหลังจากนั้นก็สามารถมุ่งหน้าไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ที่ต้องการไม่ว่าจะเป็นทางเหนือหรือทางใต้ของเกาะ

 

อ้างอิง http://www.nipponsysit.com/cms/?p=2251

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โมเสสคือใครในประวัติศาสตร์



ผู้ที่ขอพระเจ้าให้แหวกทะเลแดง ให้ชาว ฮีบรูหนีพ้นการไล่ล่าของกองทัพอียิปต์  เหตุการณ์น่าอัศจรรย์ใจเหล่านี้อาจอุบัติขึ้นตามธรรมชาติ แต่ชาวฮีบรูมักตีความให้สัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้าเสมอ 
โมเสสมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างชาติของชนอิสราเอล เพราะได้รับเทวโองการให้เป็นผู้นำประชากรของ พระองค์นับล้านชีวิต (เพศชาย 6 แสนคน) อพยพออกจาก อียิปต์ (EXODUS) หลังจากตั้งรกรากอยู่กินมานานถึง 430 ปี เพื่อไป สร้างบ้านเมืองของตนเองในดินแดนแห่งพันธสัญญา (The Promised Land) หรือคานาอัน ที่ปัจจุบันคือ ประเทศอิสราเอล ปาเลสไตน์ และ เลบานอน ผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำนมและน้ำผึ้ง ซึ่งพระเจ้าเตรียมไว้ให้ลูกหลานของพระองค์โดยเฉพาะ นั้นคือภารกินอันใหญ่หลวง เพราะเป็นการเดินทางจากความเป็นทาสสู่ความเป็นไท จากความตายสู่ความมีชีวิตของชาวฮีบรู ซึ่ง ต่อไปจะเป็นคนแปลกหน้าในดินแดนแปลกถิ่นหรือคานาอันนั่นเอง
..... พระคัมภีร์เล่าเรื่องของโมเสสยาวเหยียดจุใจในพระธรรม 4 เล่ม ตั้งแต่แรกเกิดในครอบครัวยิวผู้ยากไร้แห่งนครโกเชน จะกระทั่งสิ้นลมหายใจสุดท้ายเมื่ออายุ 120 ปี ศพฝั่งอยู่ที่ยอดเขาพิสกาห์ในเทือกเขาเนโบตรงข้ามกับนครเจริโค ซึ่งทุกวันนี้ยัง ค้นหาศพของท่านไม่พบ เขาได้รับการยกย่องให้เป็น มหาประกาศ (Prophet ผู้ประกาศ สาสน์ของพระเจ้า เกี่ยวกับเรื่องในอดีต ปัจจุบัน อนาคต) ดังปรากฎในเฉลยพระธรรมบัญญัติ 35 : 10 ว่า "ตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดเกิดขึ้นในอิสราเอล เสมอโมเสส ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงรู้จักหน้าต่อหน้า "
.....แต่นับ เป็นเรื่องชวนฉงนอย่างยิ่งครับ.....ในขณะที่ปัจจุบันกลุ่มนักโบราณคดีที่ สนใจขุดค้าเรื่องราวตามพระคัมภีร์โดยเฉพาะ (Biblical Archaeologist ) ต่างยอมรับกันแล้วว่า ไบเบิลเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์ชั้นดี เพราะพบหลักฐานเก่าแก่มากมาย ตางตามนั้น อีกทั้งเรื่องของโมเสสมีรายละเอียดครบถ้วนทุกแง่มุม ยกเว้นเพียงห้วงเวลาเอ็กโซดัส หรือการเอ่ยถึงพระนามฟาโรห์ ทว่า หลักฐานทางฝ่ายอียิปต์กลับไม่เคยเอ่ยชื่อโมเสสเลย แม้จะเชื่อว่า เขาถูกเลี้ยงดูประดุจเจ้าชายไอยคุปต์ก็ตาม จนดูเสมือน หนึ่งว่าเขาไม่น่าจะมีตัวตนจริง ๆ กระมัง
.....โมเสส เป็นใครกันแน่ หรือชาวอียิปต์เรียกเขาด้วยชื่ออื่น เฉกเช่นกรีกเรียกปฐมฟาโรห์นาร์เมอร์ว่า มีนืส เรียกฟาโรห์คูฟู ผู้ สร้างมหาปีระมิดว่า คีออปส์ หรือเรียกฟาโรห์เมนคาเร ผู้สร้างปีระมิดองค์ที่ ว่า ไมซีรีนุส ซึ่งเสียงเพี้ยนไปจากเดิมมาก จนไม่บอก จะเดาไม่ถูกเด็ดขาด แรกเริ่มเดินที ชาวไอยคุปต์เรียกคนชาติอื่นผู้ไม่มีอาณาจักรเป็นของตนเองต้องมาพึ่งใบบุญ อียิปต์ รวมถึง ทาสและเฉลยศึกที่ไม่มีทรัพย์สินเงินทองว่า อะปิรู (APIRU) คำคำนี้บางแห่งคัดลอกผิดเป็น HAPIRU หรือ HABIRU จนในที่ สุดเพี้ยนมาเป็นคำว่า ฮีบรู (HEBREW) ซึ่งต่างกับคำว่ายิว (JEW) มาจาก YEHUDI ภาษาฮีบรูแท้ ๆ หมายถึงคนของตระกูล จูดาห์ (โรมัน เรียก จูเดีย สถานที่ตั้งกรุงเยรูซาเล็ม) ชื่อบุตรชาย 1 ใน 12 คนของยาโคบ(อิสราเอล) ที่กลายเป็นอีกอาณาจักรแยก ออกจากอิสราเอลเมื่อกษัตริย์โซโลมอนสิ้นพระชนม์ไปแล้ว เรื่องของชนชาวฮีบรูมีปรากฎหลักฐานทางฝ่ายอียิปต์เพียงแห่งเดียว ที่เดียวและบรรทัดเดียวในบทโศลกบนแผ่นศิลาจารึกชื่อ ISRAEL STELA (ขุดพบปี 1895 ที่เมืองลักซอร์) ของฟาโรห์ เมเรนปทาห์ (ปี 1224 - 1214 ก่อนคริสตศักราช) ว่า ISRAEL IS LAID WASTE, HIS SEED IS NOT ซึ่งไม่สามารถสื่อ ถึงอะไรได้ นอกจากชาวอิสราเอลเคยอาศัยอยู่ในอียิปต์จริง ส่วนพระคัมภีร์เล่าว่าชาวฮีบรู เดิมเร่ร่อนอยู่ในปาเลสไตน์ แล้วอพยพ หนีความแห้งแล้วอดอยากไปตั้งรกรากใหม่ทางดินดอนสามเหลียมปากแม่น้ำไนล์ฟาก ตะวันออกชื่อว่าแผ่นดินโกเชน เมื่ออยู่ติดต่อ กันนานหลายชั่วอายุคนก็ออกลูกแตกหลานเต็มบ้านล้นเมื่อง จนฟาโรห์เกรงจะเป็นภัยต่อความมั่นคง หากไม่สามารถจำกัดจำนวน อย่างใกล้ชิด ชาวฮีบรูจึงถูกลดสถานะลงเป็นทาสเรียกว่า อะบิรู ทำหน้าที่ผลิดก้อนอิฐผสมฟางแห้ง แต่จำนวนทาสหาได้ลดน้อยลง ไม่ ฟาโรห์จึงมีราชองการให้กำจัดทารกฮิบรูเพศชายที่เกิดใหม่ทุกคนด้วยการโยนลง แม่น้ำไนล์เป็นอาหารของจระเข้และ ฮิปโปโปเตมัส มหาประกาศเกิดในช่วงนี้เองตรงกับปี 1527 ก่อน ค.ศ. แม่ของเขาแอบฟูมฟักจนอายุ 3 เดือนก็จำใจต้องเอา ทารกน้อยใส่ตระกร้าลอยน้ำไปตายเอาดาบหน้า ความที่เป็นเด็กบุญญาธิการสูง ธิดาฟาโรห์จึงเป็นผู้พบตระกร้าและนำเด็กไปเลี้ยง ดูในวังตั้งชื่อให้ว่า โมเสส พระคัมภีร์ระบุว่าเป็นภาษาฮีบรูหมายถึง "ฉุดขึ้นมา " เพราะพระนางฉุดเขาขึ้นจากตระกร้าในน้ำ...แต่ เป็นได้หรือที่เจ้าหญิงไอยคุปต์ตั้งชื่อบุตรบุญธรรมของตนด้วยภาษาฮีบรูจากคำ ว่า MOSHE (MSHA แปลว่า "ฉุด" และ MOSHUI แปลว่า "ผู้ถูกฉุดขึ้นมา") ดังนั้นโมเสสน่าจะเป็นภาษาอิยิปต์มากกว่า โดย MOSE หมายถึง "ลูกชาย" ตรงกับภาษากรีกว่า Mosis เหมือนกับชื่อฟาโรห์ Thutmose แปลว่า โอรสแห่งเทพเจ้าธอธ์ นั่นเอง...
.....เนื่องจากพระ คัมภีร์ไม่ได้ระบุห้วงเวลาเอ็กโซดัสเอาไว้ นักไบเบิ้ลวิทยาต้องค้นหาหลักฐานกันเอง แต่ไหนแต่ไรมาสันนิษฐาน ว่าเกิดขึ้นช่วงต้นศตวรรษที่ 13 ก่อนคริสต์กาลตรงรัชสมัยจอมฟาโรห์รามิเซสที่ 2 (ปี 1290-1224 ก่อน ค.ศ.) แม้แต่หนังเรื่อง บัญญัติ 10 ประการที่มีการค้นคว้าข้อมูลอย่างดีเยี่ยมก็ยังเชื่อเช่นนั้น เพราะหลักฐานต่าง ๆ เริ่มปรากฎเมื่อนักวิชาการหนุ่มชาว ฝรั่งเศสชื่อ ฌัง ฟรังซัว ฌองโปลียอง อ่านอักษรภาพเฮียโรกลิฟฟิกออกในปี 1822 และพบพระนามฟาโรห์รามิเซสจารึกอยู่ทั่วไป หมด ทรงสร้างเมืองและมหาวิหารใหญ่โตมโหฬารมากมายหลายแห่งรวมทั้งราชธานีใหม่ชื่อ ไพ รามิเซ (Pi-Ramesse แปลว่า ทรัพย์สินขององค์รามิเซส) นักโบราณคดียุคนั้นตื่นตะลึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์มาก จึงยกย่องให้เป็นมหาราช ต่อมาเมื่อเห็น ข้อความในพระคัมภีร์ว่าฟาโรห์ทรงใช้ทาสชาวฮีบรู สร้างนครไพธอม (PITHOM) และรามเซส (RAAMESE) ก็เลยเหมาว่าคือ ฟาโรห์รามิเซส จนกระทั่ง ดอกเตอร์มันเฟรด เบียแท็ก แห่งมหาวิทยาลัยเวียนนา ผู้มีประสพการ์ณด้านอียิปต์ศาสตร์นานมากกว่า 30 ปีได้ขุดเจอซากนครไพราแมสเซที่เมืองเทล เอลดาบา ห่างจากกรุงไคโรไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 100 กม.เขาพบหลัก ฐานว่าเป็นนครเดียวกับอวารีส ราชธานีเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งฟาโรห์เป็นไท้ต่าวดาวท้าวต่างแดนชาวฮิกซอส (HYKSOS ภาษากรีก แปลว่าเจ้าชายทะเลทราย) ชนเผ่านักรบเร่ร่อนจากซีเรียตอนใต้ซึ่งเคยปกครองไอยคุปต์ตอนเหนืออยู่นาน 155 ปีนับจากปี 1730 ก่อน ค.ศ. เป็นต้นมา ราชธานีแห่งนี้มีมาก่อนฟาโรห์รามิเซสร่วม ๆ 500 ปี พระองค์เป็นเพียงผู้บูรณะใหม่อีกครั้งหนึ่ง...เอ็กโซดัสจึงมีความเป็นไปได้ ที่เกิดก่อนยุครามิเซส เมื่อบวกกับหลักฐานในพระคัมภีร์ ระบุว่าชาวฮีบรูอพยพออกจากอียิปต์เป็นเวลา 480 ปีก่อนกษัตริย์โซโลมอน ทรงสร้างมหาวิหารแห่งแรกที่กรุงเยรูซาแลม ในปี 967 ก่อน ค.ศ. (967 + 480) หรือรัชสมัยของฟาโรห์ดูดิโมส (DUDIMOSE) แห่งราชวงศ์ที่ 13 และหากโมเสสเกิดปี 1527 ก่อน ค.ศ. จริงจะมีอายุ 80 ปี สอดคล้องกับวัยที่ระบุในพระคัมภีร์พอดี ....เหตุผลสนับสนุนอีกข้อหนึ่งคือ ชาวฮีบรูเริ่มอพยพหนี้ภัย แล้งจากปาเลสไตน์สู่แผ่นดินโกเชนของอียิปต์ในรัชสมัยฟาโรห์เซนโวสเร็ตที่ 3 ซึ่งปกครองอียิปต์ระหว่างปี 1878 - 1843 ก่อน ค.ศ. และอยู่ฝังรกรานนานถึง 430 ปี ก่อนจะอพยพตามโมเสสสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา นั่นก็คือช่วงแห่งเอ็กโซดัสอยู่ระหว่าง ปี 1448 - 1413 ก่อน ค.ศ. อีกนั้นแหละ
.....ข้อมูลใหม่ข้างต้น นักไบเบิลวิทยาพยายามหาหลักฐานสนับสนุนว่าเอ็กโซดัสเกิดขึ้นกลางศตวรรษที่ 15 ก่อนคริสต์กาล ก็เพื่อโยงปรากฎการ์ณมหัศจรรย์ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็น การแหวกทะเลแดง หรือ ภัยพิบัติ 10 ประการที่โมเสส แสดงอิทธิฤทธิ์ บีบ ฟาโรห์ให้ยอมปล่อยทาสฮีบรูเป็นอิสระ ล้วนเป็นสิ่งอุบัติขึ้นตามธรรมชาติทั้งสิ้น โดยเป็นผลมาจากภูเขาไฟ เทรา ระเบิดครั้งใหญ่ในช่วงนั้น ภูเขาไฟเทราตั้งอยู่ทางซีกตะวันออก ของทะเลเมดิเตอเรเนียน ห่างจากชายฝั่งอียิปต์ 800 กม. ทัขนาดใหญ่กว่าภูเขาไฟกรากะตั้วในหมู่เกาะชวา 6 เท่า เพียงแค่การกะตั้วระเบิด เมื่อปี 1886 เถ้าถ่านก็คลุ้งกระจายลงเรือเดิน สมุทรที่อยู่ไกลถึง 3,000 กม. ส่วนเสียงระเบิดดังสนั่นหวันไหวได้ยินไปถึงทวีปออสเตรเลียตอนเหนือที่อยู่ ห่าง 4,800 กม. ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดปรมาณูถล่มเมืองนางาซากิของญี่ปุ่นมีอำนาจทำลายล้างสูงเพียง 20 กิโลตัน แต่แรงระเบิดของภู เขาเทรา มีอานุภาพร้ายแรงขนาด 6 ล้านกิโลตัน มากกว่ากันเท่าไหรก็คำนวณดูเองนะครับ ..แล้วยังงี้จะไม่ให้ส่งผลกระทบถูก อียิปต์ได้ยังไหว !
.....ทุกวันนี้ ใครคือ โมเสส ยังคงเป็นปริศนาดำมืดที่นักไบเบิ้ลวิทยาคิดไม่ออก ขบไม่แตก เพราะขาดหลักฐานสนับสนุนจากแหล่ง อื่นว่า เขาเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ มีตัวตนจริง สิ่งที่ทำได้ก็เพียงแต่สันนิษฐานไปตามข้อมูลใหม่ที่ได้เพิ่มขึ้นในแต่ละ ครั้ง ซึ่งนำไปสู่ข้อสรุปไม่ตรงกันเสียเป็นส่วนมาก เมื่อกว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว ซิกมันด์ ฟรอยด์ นักจิตวิทยาคนสำคัญของโลก ชี้ว่า โมเสสคือผู้อยู่เบื้องหลัง ฟาโรห์อัคเคนาเตน ในการปฏิวัติศาสนาอียิปต์จากการเคารพเทพเจ้าหลายองค์ลงเหลือสุริยเทพอาเตน เพียงองค์เดียว คล้ายกับบัญญัติข้อแรกของชาวฮีบรู "จงอย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา" ฟรอยด์วิเคราะห์ว่า ADONAI ซึ่งชาว ฮีบรูใช้เรียกขานพระเจ้าของตนนั้น เมื่อเขียนเป็นภาษาอียิปต์จะตรงกับคำว่า อาเตนนั่นเอง อีกครึ้งศตวรรษต่อมา นักประวัติศาสตร์ ขาวอียิปต์ชื่อ อาเหม็ด ออสมาน นายคนนี้ไม่อ้อมค้อมแบบฟรอยด์ดอกครับ เขาฟันธงไปเลยว่าโมเสส กับ ฟาโรห์อัคเคนาเตนคือคนคนเดียวกัน พร้อมทั้งเหตุผลสนับสนุนมากมาย แต่นักไบเบิ้ลวิทยากลับเชื่อหลักฐานในรัชสมัยฟาโรห์ อเมนโฮเท็ปที่ 3 ว่า พระองค์ทรงมีรัชทายาท 2 พระองค์ อัคเคนาเตนคือโอรสแท้ดังปรากฏบนเหยือกสุราประจำพระองค์ จารึกไว้ ว่า "โอรสองค์จริงแห่งฟาโรห์" และได้ขึ้นครองราชย์ต่อมา ส่วนอีกองค์หนึ่งคือเจ้าชายหนุ่มโมซิส (คนละองค์กับฟาโรห์พระนามนี้) เรื่องราวของเขาหายขาดตอนไปก่อนอัคเคนาเตนขึ้นเป็นฟาโรห์ไม่นาน ทิ้งสุสานที่สร้างเตรียมไว้ในบริเวญหุบผากษัตริย์ให้ร้าว ว่างเปล่าปราศจากมัมมี่ของพระองค์ ถ้าหากเจ้าชายองค์นี้เลิกนับถือเทพเจ้าอียิปต์และตัดชื่อ THUT (เทพเจ้าธอธ์) ออก เขาก็ จะชื่อโมซิสหรือ โมเสส...

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คุณทวดชาวญี่ปุ่นที่อายุยืนที่สุดในโลก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายจิโอเรมอน คิมุระ (Jioremon Kimura) คุณทวดชาวญี่ปุ่นที่อายุยืนที่สุดในโลก ซึ่งได้รับการจดบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กให้เป็นบุคคลที่มีอายุมากที่สุดในโลกได้เสียชีวิตด้วยโรคชราที่เมืองเคียวทังโกะ (Kyotango) ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเช้าตรู่วันที่ 12 มิถุนายนนี้ ด้วยวัย 116 ปี 54 วัน
รายงานข่าวแจ้งว่า นายจิโอเรมอน คิมุระเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 11 เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาด้วยโรคปอดบวม แล้วเพิ่งอาการทรุดหนักเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา
คุณทวดคิมุระเกิดเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2440 ในครอบครัวชาวนาในเมืองเคียวทังโกะ (Kyotango)
คุณทวดมีลูก 7 คน หลาน 14 คน เหลน 25 คน และโหลนอีก 15 คน เกษียณจากอาชีพบุรุษไปรษณีย์เมื่ออายุ 60 ปีแต่ก็ยังไม่หยุดทำงานมีกิจกรรมทำสวนเป็นงานอดิเรกต่อไปจนอายุ 90 ปี คุณทวดไม่สูบบุหรี่ และรับประทานอาหารให้อิ่มเพียงร้อยละ 80 สุภาษิตประจำใจคือ "กินน้อยๆ จะได้อยู่นานๆ"
ประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่มีผู้สูงอายุที่อายุเกินร้อยปีมากที่สุดในโลก โดยเมืองโอกินาวา มีสถิติผู้มีอายุเกินร้อยจำนวนมากที่สุด คือ 50 คนต่อ 100,000 คน