ประวัติย่อ :: | |
ก่อนหน้านั้น ปาชิโน่เคยกำกับและนำแสดงใน Looking for Richard ที่เกี่ยวข้องกับบทละครเรื่อง Richard III ของเชคสเปียร์ส (งานชิ้นนี้ทำให้เขาได้รับรางวัล Outstanding Directorial Achievement for a Documentary จากสมาคมผู้กำกับแห่งอเมริกา) ร่วมแสดงโดย วิโนนา ไรเดอร์, อเล็ก บาลด์วิน และ เอแดน ควินน์ ปาชิโน่อำนวยการสร้าง, นำแสดงและร่วมกำกับหนังอินดี้ที่ดัดแปลงจากบทละครเรื่อง The Local Stigmatic ซึ่งออกฉายเมื่อเดือนมีนาคม 1990 ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ในนิวยอร์ค และที่พับลิกเธียเตอร์ ปาชิโน่ชนะสองรางวัลโทนี่จากบทนำใน The Basic Training of Pavlo Hummel กับ Does A Tiger Wear A Necktie? เขาเป็นสมาชิกเก่าแก่ของ เอ็กซ์เพอริเมนทัล เธียเตอร์ คอมพานี ของ เดวิด วีลเลอร์ ในบอสตัน ซึ่งเขาเคยร่วมงานด้วยในละครเรื่อง Richard III และ Arturo Ui ของ แบร์โทลต์ เบรคต์ ส่วนในนิวยอร์คและลอนดอนนั้น เขายังแสดงในละครของ เดวิด มาเม็ต เรื่อง American Buffalo และที่นิวยอร์คอีกเช่นกันที่เขาแสดงใน Richard III และรับบท มาร์ก แอนโทนี่ ใน Julius Caesar ที่พับลิก เธียเตอร์ ของ โจเซฟ แพ็ปป์ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ปาชิโน่คว้ารางวัล Lifetime Achievement Award จาก Independent Feature Project (IFP) ที่งานแจกรางรางวัลก็อทแธ่มอวอร์ดสปี 1996 และในปี 2000 เขายังได้รับการยกย่องจาก Film Society of Lincoln Center และได้รับรางวัล เซซิล บี เดอมิลล์ อวอร์ด จากสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำฮอลลีวู้ดในปี 2001 ด้วย |
วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
อัล ปาชิโน
ฟุตบอลโลกครั้งที่ 1
ฟุตบอลโลกครั้งที่ 1 ( ฟุตบอลโลก 1930 ที่ประเทศอุรุกวัย )
ฟุตบอลโลก 1930 เป็นฟุตบอลโลกครั้งแรก จัดขึ้นที่ประเทศอุรุกวัย ในปี พ.ศ. 2473 โดย ทีมชาติอุรุกวัย ชนะอาร์เจนตินา 4 -2 การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้เป็นการแข่งขันครั้งโดยไม่มีการคัดเลือกทีมเข้าเล่น ประเทศที่เข้าร่วมเป็นประเทศที่ได้รับเชิญและเป็นส่วนหนึ่งของฟีฟ่า ในขณะนั้น ในขณะเดียวกันเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก มีค่าสูง ทำให้หลายประเทศในทวีปยุโรปไม่ได้เข้าร่วมฟุตบอลโลกในครั้งนี้ ทำให้ประธานของฟีฟ่า ชูลส์ รีเมต์ ร่วมกับรัฐบาลของอุรุกวัย ได้สัญญาจะจ่ายค่าเดินทางทั้งหมดให้กับทีมที่มาจากทวีปยุโรป ในที่สุดทีมจากยุโรป 4 ทีม ได้แก่ เบลเยียม ฝรั่งเศส ยูโกสลาเวีย และ โรมาเนีย ได้เดินทางทางทะเลเป็นเวลาสามอาทิตย์มาที่ประเทศอุรุกวัย การแข่งขันในครั้งนี้ได้แบ่งออกเป็น 4 สาย A B C และ D โดยสาย A มีอยู่ 4 ประเทศ ขณะที่สายอื่นมี 3 ประเทศ ผู้ชนะในแต่ละสายจะมาแข่งกัน
จุดเริ่มต้นของศึกฟุตบอลโลกหนแรกของโลก ระเบิดขึ้นบนดินแดนละตินอเมริกาของ อุรุกวัย ในปี 1930 โดยมีประเทศเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมดเพียง 13 ทีม และในศึกเวิลด์ คัพ หนนี้ไม่มีการเตะรอบคัดเลือก แต่อย่างใด ฝ่ายอุรุกวัย เจ้าภาพทำการเชื้อเชิญทีมต่างๆ มาร่วมโม่แข้งแทน ผลปรากฏว่ามีเพียง 4 ทีมจากยุโรปเท่านั้น ที่ยินยอมตอบรับคำเชิญ เนื่องจากหลายประเทศต้องเดินทางไกลมาก แต่ อุรุกวัย ก็มีความเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าภาพในครั้งแรกนี้ ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก หรือคำยืนยันว่าจะออกค่าใช้จ่ายให้กับทุกทีมที่เดินทางมาร่วมแข่งขัน และยิ่งไปกว่านั้น สนาม เซนเตนาริโอ ในกรุงมอนเตวิเดโอ ซึ่งสามารถรองรับแฟนฟุตบอลได้ร่วม 1 แสนชีวิต คือ สังเวียนแข้งแห่งใหม่ เพื่อใช้ในการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 100 ปีของวงการฟุตบอลอุรุกวัยอีกด้วย
เกมการแข่งขันนัดเปิดสนาม เมื่อวันที่ 13 ก.ค. เริ่มขึ้นด้วยความทุลักทุเล แต่ ฝรั่งเศส ภายใต้การสนับสนุนของ จูลส์ ริเม่ต์ ประธานฟีฟ่าชาวเมืองน้ำหอม ก็สามารถถล่มเอาชนะ เม็กซิโก ไปได้อย่างสบาย 4-1 โดย ลุกแซง โลร็องต์ ถูกจารึกว่าเป็นผู้ทำประตูแรกในประวัติศาสตร์ของศึกฟุตบอลโลก
อย่างไรก็ตามในกลุ่ม เอ อาร์เจนตินา กลับเป็นทีมที่สร้างผลงานได้ดีที่สุด ด้วยการเอาชนะทั้งฝรั่งเศส และชิลี โดยเฉพาะเกมที่พบกับ เม็กซิโก นั้น ได้มีชายที่ชื่อ กิลเยร์โม่ สตาบิเล่ กลายเป็นฮีโร่ของทีมฟ้า-ขาว เมื่อสามารถทำแฮตทริกได้เป็นคนแรกในการแข่งขัน รวมทั้งในศึกฟุตบอลโลกด้วย ทำให้ อาร์เจนตินา กลายเป็นแชมป์กลุ่มอย่างง่ายดาย
ส่วน กลุ่ม บี ยูโกสลาเวีย เข้ารอบรองชนะเลิศไปอย่างสบาย เมื่อเอาชนะทั้ง บราซิล และโบลิเวีย ขณะที่กลุ่ม ซี มาริโอ เดอ ลาส คาซาส กัปตันทีมของ เปรู กลายเป็นนักเตะคนแรกที่โดนไล่ออกจากสนาม เมื่อไปเตะ สเตเนอร์ แบ๊กขวาของโรมาเนียจนขาหัก แต่ อุรุกวัย เจ้าภาพก็อาศัยความได้เปรียบเข่นเอาชนะทั้ง 2 ทีมไปได้อย่างไม่ยากเย็น ขณะที่ สหรัฐอเมริกา กลายเป็นม้ามืดของการแข่งขัน เมื่อเอาชนะ เบลเยียม และปารากวัย ไปได้ 3-0 ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับการคาดหมายว่าจะมีโอกาสเข้ารอบเลย สำหรับรอบ 4 ทีมสุดท้าย ทีมฟ้า-ขาว โชว์เพลงแข้งที่เหนือกว่า ถล่มเอาชนะ สหรัฐฯ ไปอย่างท่วมท้น 6-1 ส่วน นักเตะจอมโหด เจ้าภาพ ก็อัดยูโกสลาเวีย ไป 6-1 เช่นกัน
รอบชิงชนะเลิศในศึกเวิล์ด คัพ หนแรก กลายเป็นแมตช์รีเพลย์ของฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์ เมื่อปี 1928 เพราะ อุรุกวัย มาเจอกับ อาร์เจนตินา อีกครั้ง และแม้ว่า นักเตะฟ้า-ขาว จะเล่นได้ดีกว่า แต่ทีมจอมโหด ก็พลิกสถานการณ์ในครึ่งหลัง กลับมาเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้อย่างตื่นเต้น 4-2 ส่งผลให้อุรุกวัย กลายเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ขณะที่ สตาบิเล่ ก็ครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุด เมื่อซัดไป 8 ประตู
อย่างไรก็ตามในกลุ่ม เอ อาร์เจนตินา กลับเป็นทีมที่สร้างผลงานได้ดีที่สุด ด้วยการเอาชนะทั้งฝรั่งเศส และชิลี โดยเฉพาะเกมที่พบกับ เม็กซิโก นั้น ได้มีชายที่ชื่อ กิลเยร์โม่ สตาบิเล่ กลายเป็นฮีโร่ของทีมฟ้า-ขาว เมื่อสามารถทำแฮตทริกได้เป็นคนแรกในการแข่งขัน รวมทั้งในศึกฟุตบอลโลกด้วย ทำให้ อาร์เจนตินา กลายเป็นแชมป์กลุ่มอย่างง่ายดาย
รอบชิงชนะเลิศในศึกเวิล์ด คัพ หนแรก กลายเป็นแมตช์รีเพลย์ของฟุตบอลโอลิมปิกเกมส์ เมื่อปี 1928 เพราะ อุรุกวัย มาเจอกับ อาร์เจนตินา อีกครั้ง และแม้ว่า นักเตะฟ้า-ขาว จะเล่นได้ดีกว่า แต่ทีมจอมโหด ก็พลิกสถานการณ์ในครึ่งหลัง กลับมาเป็นฝ่ายเอาชนะไปได้อย่างตื่นเต้น 4-2 ส่งผลให้อุรุกวัย กลายเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ขณะที่ สตาบิเล่ ก็ครองตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุด เมื่อซัดไป 8 ประตู
โคอาล่า
ประวัติ
ใน พ.ศ. 2341 มีบันทึกครั้งแรกสุดที่พบโคอาล่า ข้อมูลรายละเอียดของโคอาลาเริ่มถูกตีพิมพ์ในซิดนีย์กาเซ็ตต์ (Sydney Gazette) ค.ศ. 1816 นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส Blainwill ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้ ชื่อว่า Phascolarctos ซึ่งมาจากภาษากรีก โดยเกิดจากคำ 2 คำ รวมกัน คือคำว่า กระเป๋าหน้าท้องของจิงโจ้ และคำว่า หมี (leather pouch และ bear) ต่อมานักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน Goldfuss ได้ตั้งชื่อที่เฉพาะเจาะจงลงไปเป็น cinereus ซึ่งหมายถึง สีขี้เถ้า ดูรูปประกอบจะเห็นชัดเจนมากขึ้น
ใน พ.ศ. 2341 มีบันทึกครั้งแรกสุดที่พบโคอาล่า ข้อมูลรายละเอียดของโคอาลาเริ่มถูกตีพิมพ์ในซิดนีย์กาเซ็ตต์ (Sydney Gazette) ค.ศ. 1816 นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส Blainwill ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้ ชื่อว่า Phascolarctos ซึ่งมาจากภาษากรีก โดยเกิดจากคำ 2 คำ รวมกัน คือคำว่า กระเป๋าหน้าท้องของจิงโจ้ และคำว่า หมี (leather pouch และ bear) ต่อมานักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน Goldfuss ได้ตั้งชื่อที่เฉพาะเจาะจงลงไปเป็น cinereus ซึ่งหมายถึง สีขี้เถ้า ดูรูปประกอบจะเห็นชัดเจนมากขึ้น
ขนาดและน้ำหนัก
โคอาลาที่อยู่ทางตอนใต้จะมีขนาดใหญ่กว่าที่อื่น โดยตัวผู้สูงประมาณ 30.8 นิ้ว หรือ 78 ซ.ม. ในขณะที่ตัวเมียสูงประมาณ 28 นิ้ว หรือ 72 ซ.ม. โคอาลาที่อยู่ทางตอนใต้ ตัวผู้มีน้ำหนักเฉลี่ย 26 ปอนด์ หรือ 11.8 กิโลกรัม ในขณะน้ำหนักเฉลี่ยของตัวเมียอยู่ที่ 17.4 ปอนด์ หรือ 7.9 กิโลกรัม โคอาลาที่อยู่ทางตอนเหนือ ตัวผู้มีน้ำหนักเฉลี่ย 14.3 ปอนด์ หรือ 6.5 กิโลกรัม ในขณะน้ำหนักเฉลี่ยของตัวเมียอยู่ที่ 11.2 ปอนด์ หรือ 5.1 กิโลกรัม โคอาลาแรกเกิดมีน้ำหนักเพียง 0.5 กิโลกรัม เท่านั้น
ลักษณะขน
โคอาลาที่อยู่ทางตอนใต้มีขนที่หนาเหมือนขนแกะ บริเวณหลังจะมีขนที่หนาและยาวกว่าบริเวณท้อง โคอาลาที่อยู่ทางตอนเหนือมีขนที่สั้นกว่า โคอาลามีขนหนาที่สุดเมื่อเทียบกับสัตว์อื่นๆในตระกูลจิงโจ้ ขนมีสีเทา ถึง น้ำตาลปนเหลือง และมีสีขาวบริเวณคาง หน้าอก และด้านหน้าของแขน-ขา ขนบริเวณหูมีลักษณะเป็นปุย และมีขนสีขาวที่ยาวกว่าบริเวณอื่น
โคอาลาที่อยู่ทางตอนใต้จะมีขนาดใหญ่กว่าที่อื่น โดยตัวผู้สูงประมาณ 30.8 นิ้ว หรือ 78 ซ.ม. ในขณะที่ตัวเมียสูงประมาณ 28 นิ้ว หรือ 72 ซ.ม. โคอาลาที่อยู่ทางตอนใต้ ตัวผู้มีน้ำหนักเฉลี่ย 26 ปอนด์ หรือ 11.8 กิโลกรัม ในขณะน้ำหนักเฉลี่ยของตัวเมียอยู่ที่ 17.4 ปอนด์ หรือ 7.9 กิโลกรัม โคอาลาที่อยู่ทางตอนเหนือ ตัวผู้มีน้ำหนักเฉลี่ย 14.3 ปอนด์ หรือ 6.5 กิโลกรัม ในขณะน้ำหนักเฉลี่ยของตัวเมียอยู่ที่ 11.2 ปอนด์ หรือ 5.1 กิโลกรัม โคอาลาแรกเกิดมีน้ำหนักเพียง 0.5 กิโลกรัม เท่านั้น
ลักษณะขน
โคอาลาที่อยู่ทางตอนใต้มีขนที่หนาเหมือนขนแกะ บริเวณหลังจะมีขนที่หนาและยาวกว่าบริเวณท้อง โคอาลาที่อยู่ทางตอนเหนือมีขนที่สั้นกว่า โคอาลามีขนหนาที่สุดเมื่อเทียบกับสัตว์อื่นๆในตระกูลจิงโจ้ ขนมีสีเทา ถึง น้ำตาลปนเหลือง และมีสีขาวบริเวณคาง หน้าอก และด้านหน้าของแขน-ขา ขนบริเวณหูมีลักษณะเป็นปุย และมีขนสีขาวที่ยาวกว่าบริเวณอื่น
ถิ่นที่อยู่อาศัย
โคอาลาอาศัยอยู่ในป่าที่มีต้นยูคาลิปตัส ปัจจุบันจะพบโคอาลาได้ที่ รัฐควีนส์แลนด์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐวิกตอเรีย และ รัฐเซาท์ ประเทศออสเตรเลีย
ศัตรู
ศัตรูที่สำคัญคือ มนุษย์ ซึ่งล่าเอาขนของมัน
อาหาร
โคอาล่ากินใบยูคาลิปตัสเป็น อาหาร ฟันและระบบย่อยอาหารถูกพัฒนามาให้สามารถกินและย่อยใบยูคาลิปตัสได้ ใบยูคาลิปตัวมีสารอาหารน้อยมาก และยังมีสารที่มีพิษต่อสัตว์ แต่ระบบย่อยอาหารของโคอาลามีการปรับตัว ทำให้สามารถทำลายพิษนั้นได้ โคอาลามีอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการย่อยไฟเบอร์ (ส่วนประกอบหลักของใบยูคาลิปตัส)
การสืบพันธุ์
ฤดูการสืบพันธุ์ของโคอาลาอยู่ในช่วงกันยายน ถึง มีนาคม ตัวเมียเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 3 ถึง 4 ปี และมักมีลูกปีละตัว แต่ทั้งนี้อาจมีลูกปีเว้นปี หรือ ปีเว้น 2 ปี ก็ได้ ขึ้นกับอายุของตัวเมียและสภาพแวดล้อม อายุขัยเฉลี่ยของโคอาลาตัวเมียประมาณ 12 ปี ทำให้มีลูกได้อย่างมาก 5 -6 ตัว ตลอดอายุขัยของมัน
อายุขัย
ขึ้นกับปัจจัยรอบข้าง โดยเฉลี่ยมีอายุประมาณ 113-200 ปี เนื่องจากยีนส์
การติดต่อสื่อสาร
โคอาลาใช้เสียงในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งเสียงที่ใช้มีหลายลักษณะ โดยทั่วไปตัวผู้มักส่งเสียงร้องดังเพื่อประกาศหรือบอกบริเวณที่ตนอาศัยอยู่ ในขณะที่ตัวเมียจะไม่ค่อยส่งเสียงร้อง ตัวเมียจะส่งเสียงร้องดังเมื่อมีอาการกร้าวร้าว สำหรับโคอาลาตัวเมียที่มีลูกอ่อน จะใช้เสียงที่มีความอ่อนโยนกับลูกของตนเอง เมื่อเกิดความกลัวขึ้น โคอาล่าทั้งตัวผู้และตัวเมียจะใช้ส่งเสียงคล้ายเสียงเด็กร้องไห้ นอกจากนี้ โคอาลายังใช้กลิ่นของตนเองทำเครื่องหมายตามต้นไม้ที่ต่างๆ ในการติดต่อถึงกันอีกด้วย
ฤดูการสืบพันธุ์ของโคอาลาอยู่ในช่วงกันยายน ถึง มีนาคม ตัวเมียเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 3 ถึง 4 ปี และมักมีลูกปีละตัว แต่ทั้งนี้อาจมีลูกปีเว้นปี หรือ ปีเว้น 2 ปี ก็ได้ ขึ้นกับอายุของตัวเมียและสภาพแวดล้อม อายุขัยเฉลี่ยของโคอาลาตัวเมียประมาณ 12 ปี ทำให้มีลูกได้อย่างมาก 5 -6 ตัว ตลอดอายุขัยของมัน
อายุขัย
ขึ้นกับปัจจัยรอบข้าง โดยเฉลี่ยมีอายุประมาณ 113-200 ปี เนื่องจากยีนส์
การติดต่อสื่อสาร
โคอาลาใช้เสียงในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งเสียงที่ใช้มีหลายลักษณะ โดยทั่วไปตัวผู้มักส่งเสียงร้องดังเพื่อประกาศหรือบอกบริเวณที่ตนอาศัยอยู่ ในขณะที่ตัวเมียจะไม่ค่อยส่งเสียงร้อง ตัวเมียจะส่งเสียงร้องดังเมื่อมีอาการกร้าวร้าว สำหรับโคอาลาตัวเมียที่มีลูกอ่อน จะใช้เสียงที่มีความอ่อนโยนกับลูกของตนเอง เมื่อเกิดความกลัวขึ้น โคอาล่าทั้งตัวผู้และตัวเมียจะใช้ส่งเสียงคล้ายเสียงเด็กร้องไห้ นอกจากนี้ โคอาลายังใช้กลิ่นของตนเองทำเครื่องหมายตามต้นไม้ที่ต่างๆ ในการติดต่อถึงกันอีกด้วย
ซึ่งจากข้อมูลล่าสุดก็ได้มีนักอนุรักษ์ออกมาเผยผลสำรวจเมื่อเร็วๆนี้ว่าโคอาลาสัตว์โลกน่ารักที่มีเฉพาะในทวีปออสเตรเลียเท่านั้น อาจจะสูญพันธุ์ได้ในเวลา 30 ปีที่จะถึงนี้ และควรที่จะประกาศให้เป็นสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ได้แล้ว เพราะจากการสำรวจของมูลนิธิโคอาลาออสเตรเลียชี้ว่า จำนวนของเจ้าโคอาลาลดลงกว่าครึ่งอย่างฮวบฮาบในเวลา 6 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เชื้อโรค และอื่นๆ โดยขณะนี้มีโคอาลาเหลือเพียง 4.3-8 หมื่นตัวเท่านั้นในออสเตรเลีย "จากการสำรวจครั้งล่าสุดในปี 2003 ที่มีกว่าแสนตัว"
ไข้หวัดอูฐ
|
วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2557
วันชาติของฝรั่งเศส
วันชาติฝรั่งเศสตรงกับวันที่ 14 กรกฎาคมของทุกปี ซึ่งถือเป็นวันแห่งการปฎิวัติการปกครองจากระบบเจ้าขุนมูลนายไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ โดยประชาชนทั่วทั้งประเทศได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองแบบยุกโบราณจนกระทั้งได้รับชัยชนะเป็นครั้งแรกจากบุกเข้าทลายคุกบาสติลที่เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ประชาชน เมื่อ 209 ปีก่อนและนำไปสู่การล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้สำเร็จ โดยสมัชชาแห่งชาติได้กำหนดโครงสร้างกฏหมายฉบับใหม่ที่ยกเลิกการให้ความมีเอกสิทธิ์ ขจัดเรื่องสินบนและล้มเลิกระบบฟิวดัล(ระบบศักดินา) จากนั้นต่อมาจึงมีการจัดงานฉลองแห่งชาติขึ้นเรียกว่า “The Feast of the Federation” เนื่องในโอกาสครบรอบ 1 ปีของเหตุการณ์จลาจลที่กองกำลังแห่งชาติจากทั่วประเทศได้เดินทางรวมพลกันที่ “Champs-de-Mars” ในกรุงปารีส
แต่พอหลังจากนั้นการจัดงานฉลองเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ของวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2332 ก็ต้องหยุดไปเนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศยังคงไม่สงบเกิดสงครามปฏิวัติขึ้นหลายครั้งในช่วงระยะเวลาปี พ.ศ.2335-2345 และมาในสมัย “the Third Republic*”นี้เอง รัฐบาลจึงได้มีความคิดที่จะรื้อฟื้นการจัดงานเฉลิมฉลองวันชาติฝรั่งเศสขึ้นมาใหม่ โดยมีการผ่านร่างกฎหมายฉบับเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2423 ขึ้นมา ซึ่งกำหนดให้วันที่ 14 กรกฎาคม ของทุกปีเป็น “วันชาติฝรั่งเศส”และได้จัดงานเฉลิมฉลองครั้งแรกขึ้นในปีเดียวกันนั้น
ทั้งนี้งานจะเริ่มตั้งแต่ค่ำของวันที่ 13 โดยจะมีการแห่คบเพลิงและล่วงเข้าวันรุ่งขึ้นเมื่อระฆังตามโบสถ์วิหารต่าง ๆ หรือเสียงปืนดังขึ้นนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่างานฉลองได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเป็นทางการ เริ่มจากริ้วขบวนการสวนสนามของเหล่าทัพ จากนั้นเมื่อถึงช่วงเวลากลางวันประชาชนจะร่วมฉลองด้วยการเต้นรำอย่างรื่นเริงสนุกสนานไปตามท้องถนนและมีการจัดเลี้ยงกันอย่างเอิกเกริกจนถึงเวลาค่ำ ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือการจุดพลและการละเล่นดอกไม้ไฟที่ถือประเพณีปฏิบัติจนถึงปัจจุบัน นอกจากนั้นยังมีสิ่งสร้างความบันเทิงอื่น ๆ อีกมากมายที่จัดขึ้นทั่วประเทศทั้งการจัดการแข่งขันกีฬา การจัดนิทรรศการ งานแสดงสินค้า โดยไม่มีชาวฝรั่งเศสคนใดจะละเลยไม่นึกถึงและร่วมฉลองในวันสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศครั้งนี้
การเดินสวนสนาม
การเดินสวนสนามวันบัสตีย์นั้นเป็นการเดินสวนสนามฝรั่งเศสที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในกรุงปารีสนับตั้งแต่ ค.ศ. 1880 ในตอนเช้าวันที่ 14 กรกฎาคม แต่ก่อนการเดินสวนสนามดังกล่าวจัดขึ้นที่อื่นในหรือใกล้กับกรุงปารีส แต่หลังจากปี ค.ศ. 1918 ได้ย้ายมาจัดที่ถนนช็องเซลีเซ ด้วยการเห็นพ้องอย่างชัดเจนของฝ่ายสัมพันธมิตรที่เป็นตัวแทนในการประชุมสันติภาพแวร์ซาย ยกเว้นช่วงที่เยอรมนียึดครองฝรั่งเศสจาก ค.ศ. 1940 ถึง 1944[4] ขบวนสวนสนามเคลื่อนลงมาตามถนนช็องเซลีเซ จากประตูชัยฝรั่งเศสไปถึงจัตุรัสกงกอร์ด ที่ซึ่งประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศส คณะรัฐบาลและเอกอัครราชทูตต่างประเทศประจำประเทศฝรั่งเศสยืนอยู่ การเดินสวนสนามวันบัสตีย์ได้รับความนิยมในฝรั่งเศส มีการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ และเป็นการเดินสวนสนามเป็นปกติที่เก่าแก่ที่สุดและมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรป ในบางปียังได้มีการเชิญทหารต่างประเทศเข้าร่วมในขบวนสวนสนามและเชิญรัฐบุรุษต่างประเทศเข้าร่วมในฐานะแขก
นอกจากนี้ ยังมีการเดินขบวนสวนสนามขนาดเล็กกว่าตามเมืองที่มีกองทหารประจำอยู่ของฝรั่งเศส อันประกอบด้วยทหารในท้องถิ่นนั้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)