1. ทับทิม
ทับทิมไม่ได้มีแค่ไฟโตนิวเทรียนต์เท่านั้น แต่ยังพกกรดเอลลาจิก (Ellagic Acid) ซึ่งเป็นกรดที่ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ รวมทั้งยับยั้งการขยายของเซลล์ผิดปกติที่อาจจะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (National Cancer Institute) ยังบอกเพิ่มเติมด้วยว่า สารเอลลาจิกในทับทิม สามารถป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกของผู้หญิงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว รู้อย่างนี้แล้วสาว ๆ อยากจะกินทับทิมกันแล้วใช่ไหมจ๊ะ
2. มะขามป้อม
จากข้อมูลของมูลนิธิหมอชาวบ้าน เราก็พบว่า มะขามป้อมเป็นผลไม้อีกชนิดที่มีกรดเอลลาจิก (Ellagic Acid) แฝงอยู่ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมีวิตามินสูงมาก จนเกือบจะเป็นราชาผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีเลยทีเดียวล่ะ แถมยังพ่วงกรดฟิลเลมลิก (Phyllemblic Acid) และสารฟีนอล (Phenols) มาเป็นเพื่อนด้วย ซึ่งก็หมายความว่า มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยป้องกันมะเร็งกับเขาได้เหมือนกันนั่นเองค่ะ
3. มันเทศ (Sweet Potato)
ในที่นี้อาจจะรวมไปถึงมันฝรั่งพันธุ์ต่าง ๆ ด้วยนะคะ ที่ศูนย์มันฝรั่งระหว่างประเทศ (The International Potato Center : CIP) เขายืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า มันฝรั่งเกือบทุกชนิดมีคุณสัมบัติป้องกันมะเร็งได้
โดยอธิบายว่า มันฝรั่งอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, วิตามินเอ, วิตามินซี, ไรโบฟลาวิน (วิตามินบีชนิดหนึ่ง), กรดโพลีฟีนอล แอนตี้ออกซิแดนท์ คาเฟอิก (Polyphenol Anti-oxidants Caffeic Acid) และกรดคาเฟโออิวควินิก (Caffeoylquinic Acid) ซึ่งช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รวมทั้งลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม
4. มะละกอ
ผลมะละกอดิบมีวิตามินเอ และสารเบต้าเคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและช่วยต้านโรคมะเร็ง อีกทั้งยังมีวิตามินซี, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, และเหล็กซึ่งช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัด โรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟันและใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์พาเพน ซึ่งสามารถนำมาเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อย รวมทั้งช่วยกระตุ้นน้ำนมสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดอีกด้วย
แต่ที่น่าสนใจก็คือ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลอริด้า ได้ทำการศึกษาและพบว่า คุณประโยชน์เหล่านี้ในผลมะละกอไม่ว่าจะดิบ หรือสุก สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก หรือเซลล์ผิดปกติที่ทำท่าว่าจะเป็นเซลล์ก่อมะเร็ง ที่สำคัญยังเจ๋งขนาดป้องกันได้ทั้งมะเร็งปากมดลูก, มะเร็งเต้านม, มะเร็งตับ และมะเร็งตับอ่อนเลยทีเดียวนะจ๊ะ
5. แก้วมังกร
ผลไม้ไทย ๆ อย่างแก้วมังกร มีสารต้านมะเร็งกับเขาด้วย แต่ทั้งนี้ผลการศึกษาจากศูนย์วิจัยสารต้านอนุมูลอิสระก็แนะนำว่า สารสกัดจากเปลือกแก้วมังกรสีสด ๆ มีศักยภาพในการป้องกันมะเร็งดีกว่าการรับประทานผลสดซะอย่างนั้น แต่อย่างไรก็แล้วแต่ การรับประทานแก้วมังกรเป็นประจำก็สามารถป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด และช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายเราได้เป็นอย่างดีอยู่แล้วเนอะ
6. มังคุด
มังคุดเป็นผลไม้สัญชาติไทยแท้ที่หากินได้ง่ายในบ้านเรา ซึ่งผลการวิจัยโดย Current Molecular Medicine ก็บอกข่าวดีกับเราว่า ในมังคุดมีสารต้านเซลล์มะเร็งที่น่าสนใจนั่นก็คือ สารที่เรียกว่า แซนโทน (XANTHONE) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถซ่อมแซมเซลล์ส่วนมี่ถูกทำลายโดยปัจจัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี จึงถูกยอมรับว่าเป็นสารที่ช่วยต้านเซลล์มะเร็งตัวจี๊ดที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว ทั้งนี้นอกจากกินผลสด ๆ แล้ว เรายังสามารถนำเปลือกมังคุดไปทำเป็นไวน์ไว้ดื่มได้อีกอย่างหนึ่งด้วยนะคะ
7. องุ่น
มหาวิทยาลัยเวย์นสเตต (Wayne State University) ทำการศึกษาคุณสมบัติขององุ่นกับการต้านมะเร็งและพบว่า จากหลักฐานที่ทดลองกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน สามารถพิสูจน์ได้ว่า วิตามินและสารอาหารที่พบในองุ่นทุกชนิด มีผลโดยตรงในการป้องกันโรคมะเร็ง อีกทั้งองุ่นยังมีสารอาหารที่สำคัญที่ดีคือน้ำตาล และสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์ เช่น น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโครส วิตามินซี เหล็กและแคลเซียม มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ และช่วยฟื้นกำลังคนที่ร่างกายผอมแห้ง แก่ก่อนวัยและไม่มีเรี่ยวแรงด้วยนะคะ
8. ส้ม และผลไม้ตระกูลส้มทุกชนิด
นอกจากจะอัดแน่นไปด้วยกรดวิตามินซีแล้ว ในผลไม้จำพวกส้มยังมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง โดยเฉพาะป้องกันมะเร็งเต้านม โดยข้อมูลทั้งหมดผ่านการรับรองและยืนยันความน่าเชื่อถือจากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม (Texas A&M University) แล้วด้วยนะจ๊ะ
9. แอปเปิล
สถาบัน Advances in Nutrition ได้ทำการวิจัยและพบว่า แอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ในเรื่องของการลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง อีกทั้งยังป้องกันโรคมะเร็งได้ตั้งแต่สาเหตุของโรคเลยทีเดียว เนื่องจากสารฟลาโวนอยด์ในปริมาณที่สูงมากของเปลือกแอปเปิล สามารถล้างพิษออกจากร่างกาย และช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้ได้นั่นเอง
10. สตรอว์เบอร์รี
ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) หรือสารพฤษเคมี บวกกับวิตามินซี และแร่ธาตุดี ๆ อีกหลายชนิดในสตรอว์เบอร์รี ก็เป็นส่วนสำคัญในการต้านเซลล์มะเร็ง และมีสรรพคุณบำบัดโรค โดยเฉพาะป้องกันโรคมะเร็งเต้านมของคุณผู้หญิง การันตีโดยผลวิจัยที่เว็บไซต์ Exan Health ได้นำมาเผยแพร่จ้า
11. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี
จริง ๆ แล้วผลไม้ตระกูลเบอร์รีทุกชนิดมีสารที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้เกือบทั้งหมด แต่ดอกเตอร์แกรี่ ดี สโตเนอร์ คณบดีคณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยแห่งรัฐโอไฮโอ (The Ohio State University College of Medicine) ชี้แจงว่า ในผลแบล็กเบอร์รีจะมีคุณสมบัติต้านมะเร็งที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน เนื่องจากมีสารพฤษเคมีจำพวกแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สูง ซึ่งช่วยชะลอการเกิดเซลล์มะเร็ง แถมยังสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ได้อีกต่างหาก
12. เลมอน
นักวิจัยจากประเทศออสเตรเลียเผยว่า วิตามินซี และกรดหลากชนิดในผลเลมอน สามารถป้องกันมะเร็งช่องปาก, มะเร็งลำคอ และมะเร็งในช่องท้องได้ หากดื่มน้ำเลมอนคั้นสดวันละ 1 แก้วกาแฟเป็นประจำทุกวัน และแม้ว่าเลมอนจะไม่ใช่ผลไม้สัญชาติไทยแท้ แต่เลมอนก็ไม่ใช่ผลไม้ที่หายากในบ้านเราซะทีเดียวนะคะ
13. กีวี
วารสาร Ethnopharmacology เผยว่า ผลไม้ที่อัดแน่นไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ, วิตามินซี, วิตามินอี, ลูเตียน (Lutein) และสังกะสีชนิดนี้ มีประสิทธิภาพมากพอจะต้านเซลล์มะเร็งได้อยู่หมัด เพียงแค่กินกีวีสดวันละครึ่งลูกก็เท่ากับกินยาต้านมะเร็งเกรดพรีเมียมเข้าไปแล้วล่ะจ้า
14. อะโวคาโด
จากการศึกษาของวารสาร Experimental Therapeutics & Oncology พบว่า สารพฤษเคมีในผลอะโวคาโดมีส่วนช่วยป้องกันความผิดปกติที่เกิดจากเซลล์ ปกป้องเซลล์ในร่างกายไม่ได้เกิดเนื้อร้าย กำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว รวมทั้งยับยั้งการเจิญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติ และกำลังจะเติบโตเป็นเนื้อร้ายได้อีกด้วย
15. มะเขือเทศ
มะเขือเทศอาจจะก้ำกึ่งระหว่างผักและผลไม้ แต่ประเด็นนั้นไม่น่าสนใจเท่ากับผลวิจัยที่สถาบันวิจัยโรคมะเร็งอเมริกา (American Institute for Cancer Research-AICR) เขาพบว่า มะเขือเทศมีคุณสัมบัติป้องกันโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก รวมไปถึงมะเร็งปอด, มะเร็งเต้านม และมะเร็งมดลูกได้ชะงัด
วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558
เสือชีตาห์
ลักษณะทั่วไป
เสือชีตาห์เป็นเสือที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดชนิดหนึ่งไม่น้อยหน้าสิงโตและเสือโคร่ง ด้วยรูปร่างที่สง่างามน่าแปลกกว่าเสือชนิดอื่น และประกอบกับการเป็นเจ้าของสถิติสัตว์บกที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก จึงแทบไม่มีใครไม่รู้จักเสือชีตาห์
เสือชีตาห์เป็นเสือค่อนข้างเล็ก ในเซเรนเกตตี น้ำหนักเฉลี่ยของเสือชีตาห์ตัวผู้คือ 43 กิโลกรัม และตัวเมีย 38 กิโลกรัม รูปร่างต่างจากเสือชนิดอื่นมาก รูปร่างผอมเพรียว ดูเผิน ๆ เหมือนหมาพันธุ์เกรย์ฮาวนด์ สีพื้นลำตัวเป็นสีเหลืองทองและมีจุดสีดำกระจายทั่วทั้งตัว ใต้ท้อง ด้านล่างของขา คอ คาง และริมฝีปากบนสีขาว ที่ใกล้ปลายหางจุดจะกลายเป็นปล้องดำประมาณ 6 วง ปลายหางสีขาว ใบหน้ามี "เส้นหยาดน้ำตา" สีดำพาดจากหัวตาลงมายังมุมปากเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร หนวดค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับเสือโคร่ง ละเอียด อ่อน จึงไม่มีหน้าที่ช่วยในการล่าแต่อย่างใด ใบหูดำ โคนหูและขอบใบหูสีน้ำตาลอมเหลือง เล็บนิ้วโป้งอยู่สูงเด่นจากนิ้วอื่น ใช้ในการเกี่ยวขาเหยื่อที่กำลังวิ่งหนี บริเวณท้ายทอยและหลังมีขนยาวคล้ายแผงคอของสิงโต บางตัวจะยาวมาก โดยเฉพาะลูกเสือ
สัตว์สังคม
เสือชีตาห์อาจรวมฝูงกันหากิน ล่าเหยื่อและปกป้องอาณาเขตร่วมกัน
เสือชีตาห์มีทั้งที่หากินโดยลำพังและหากินเป็นฝูงเล็กๆ นับว่าเป็นสัตว์สังคมมากกว่าเสือทั่วไป มีเพียงสิงโตเท่านั้นที่มีสังคมแน่นแฟ้นกว่า หลังจากออกจากการดูแลของแม่แล้ว เสือพี่น้องอาจยังคงอยู่ด้วยกันและช่วยกันทำมาหากินเป็นเวลาถึง 6 เดือนไม่ว่าจะเป็นเพศใด ในเซเรนเกตตี พบว่าเมื่อเสือชีตาห์ตัวเมียเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ก็จะออกจากกลุ่มพี่น้องไปก่อน ส่วนเสือหนุ่มพี่น้องจะอยู่ด้วยกันนานกว่านั้น บางครั้งฝูงเสือชีตาห์หนุ่มอาจยอมรับเสือหนุ่มจากต่างครอบครัวมาร่วมฝูงด้วย ในเซเรนเกตตีคาดว่ามีฝูงแบบนี้มากถึง 15 เปอร์เซ็นต์ เสือหนุ่มที่รวมฝูงกันจะมีอาณาเขตเล็กกว่า บางครั้งอาจเล็กเพียง 12-36 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น อย่างมากไม่เกิน 150 ตารางกิโลเมตร แต่ก็มีศักยภาพในการแสวงหาและรักษาเขตแดนได้ดีกว่าเสือที่หากินโดยลำพัง นอกจากนี้ยังพบว่ามีสุขภาพดีกว่า ล่าสัตว์ได้ขนาดใหญ่กว่า และมีโอกาสเข้าถึงตัวเมียได้มากกว่าในช่วงที่มีกาเซลล์รวมฝูงกันด้วย
ส่วนเสือชีตาห์ตัวเมียอยู่อย่างสันโดษและมีเขตแดนชัดเจน อาจซ้อนเลื่อมกับเขตแดนของตัวเมียตัวอื่นบ้าง
ในแอฟริกาตะวันออกและตอนใต้บางพื้นที่ที่สัตว์นักล่าชนิดอื่นหายไป เคยพบฝูงเสือชีตาห์ที่ใหญ่ถึง 14-19 ตัว (รวมลูก) อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบว่าการรวมฝูงที่ใหญ่ขนาดนี้ในสถานการณ์เช่นนี้ให้ประโยชน์อย่างไร
ประเทศที่ห้ามล่า
แองโกลา, เบนิน, บอตสวานา, บูร์กินาฟาโซ, แคเมอรูน, สาธารณรัฐแอฟริกากลาง, เอธิโอเปีย, กานา, เคนยา, มาลาวี, มาลี, มอริเตเนีย, โมซัมบิก, นามิเบีย, ไนเจอร์, ไนจีเรีย, รวันดา, เซเนกัล, ซูดาน, แทนซาเนีย, โตโก, ยูกันดา, คองโก, แอลจีเรีย, อียิปต์, อิหร่าน, คาซัคสถาน, โมร็อกโก, ปากีสถาน, ตูนิเซีย, เติร์กเมนิสถาน, อุซเบกิสถาน
10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิต มนต์เสน่ห์เมืองลาว
1. เมืองหลวงพระบาง (Luang Prabang)
เมืองหลวงพระบางอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว และถูกขนาบไปด้วยแม่น้ำคานและแม่น้ำโขง เมืองนี้จัดว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล เพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัดวาอารามเก่าแก่ มีบ้านเรือนที่มีสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียน บรรยากาศในเมืองเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม จึงไม่น่าแปลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรกดโลก ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก โดยสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ เช่น วัดใหม่สุวันนะพูมาราม พระธาตุจอมพูสี น้ำตกตาดกวางสี และวัดวิชุน ฯลฯ
2. แม่น้ำโขง (Mekong River)
แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีความยาวถึง 4,350 กิโลเมตร ประเทศลาวเองก็มีพรมแดนติดแม่น้ำโขงด้วยเช่นกัน และใช้แม่น้ำโขงสำหรับสัญจรไปมาอีกด้วย ทัศนียภาพตลอดแนวริมฝั่งนั้นสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนลาว และความงดงามทางธรรมชาติ อากาศที่บริสุทธิ์ ทำให้ทริปล่องแม่น้ำโขงนั้นเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยจุดเริ่มต้นเส้นทางเริ่มที่เมืองห้วยทรายและสิ้นสุดที่เมืองหลวงพระบาง หรือจะออกเดินทางจากหลวงพระบาง-ห้วยทรายก็ได้
3. วังเวียง (Vang Vieng)
วังเวียงเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ตั้งอยู่ในเมืองวังเวียง ริมแม่น้ำซอง อยู่ห่างจากเมืองหลวงเวียงจันทน์ 150 กิโลเมตร ตัวเมืองถูกล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ ด้วยลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ทำให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามไปด้วยธรรมชาติ มีทัศนียภาพอันงดงามของทิวเขาที่วางสลับตัวกัน เหมาะจะไปสูดอากาศบริสุทธิ์ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวลาวในชนบท เช่น เผ่าลาวสูง, ลาวเทิง, ลาวม้ง และไทลื้อ ส่วนกิจกรรมที่น่าสนใจประกอบด้วย เดินทางไกลชมป่าไม้ ปีนเขา ชมถ้ำ และล่องห่วงยางเล่นบนแม่น้ำซอง ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก จึงมีที่พัก ร้านอาหาร ร้านอินเทอร์เน็ต ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยวเปิดให้บริการอย่างคึกคัก
4. สี่พันดอน (Si Phan Don )
สี่พันดอน แปลว่า สี่พันเกาะนั่นเอง เป็นหมู่เกาะที่อยู่บริเวณแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของประเทศลาว ก่อนที่จะไหลเข้าเขตประเทศกัมพูชา ชาวบ้านแถบนี้ประกอบอาชีพประมงเป็นส่วนใหญ่ และยังคงดำรงชีวิตแบบชาวชนบท มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เป็นเขตที่ค่อนข้างสงบทีเดียว จุดท่องเที่ยวหลัก ๆ มีอยู่ 3 แห่ง คือ ดอนคง ดอนคอน และดอนเด็ด สำหรับดอนคงเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนแบบชิล ๆ สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ ชมความงามของธรรมชาติ สำหรับดอนคอนและดอนเด็ดเป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาค่อนข้างมาก จึงมีที่พักเปิดให้บริการกับผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชมธรรมชาติที่นี่ ที่สำคัญราคาที่พักไม่แพงเลย
5. ทุ่งไหหิน (Plain of jar)
ทุ่งไหหินเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในเมืองเชียงขวาง (Xieng Khouang) เป็นที่ราบกว้างเต็มไปด้วยหินรูปทรงคล้ายไหหรือโอ่ง มีความสูงตั้งแต่ 1-3 เมตร นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า ไหพวกนี้ปรากฏขึ้นตั้งแต่ยุคหิน และน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมฝังศพ เพราะมีการค้นพบซากโครงกระดูกมนุษย์และสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการฝั่งศพบริเวณรอบ ๆ นอกจากนี้ บริเวณรอบ ๆ ไหหินยังมีร่องรอยของหลุมระเบิดที่ทิ้งลงมาโดยสหรัฐอเมริกาอีก อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดจากนักโบราณคดีว่าที่มาของไหหินนี้เป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติไปเรียบร้อยแล้ว
6. วัดเชียงทอง (Wat Xieng Thong)
วัดเชียงทองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวงพระบาง มีการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา และได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในลาว จนทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต่างพากันมาชื่นชมความงามนี้ด้วยสายตาของตัวเอง นอกจากจะมีรูปทรงที่สวยงามแล้ว ยังเป็นศาสนสถานที่ทรงคุณค่าทางจิตใจของชาวลาว ทั้งนี้ วัดเชียงทองถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1560 โดยพระโพธิสารเจ้า มีฐานะเป็นวัดหลวง จึงทำให้มีการดูแลปฏิสังขรณ์เป็นอย่างดี ภายในวัดเชียงทองประกอบไปด้วยพระอุโบสถ พระประธาน วิหารน้อย โรงเมี้ยนโกศ ซึ่งมีการประดับตกแต่งด้วยศิลปะแบบหลวงพระบางแท้ ๆ
7. พระธาตุหลวง (Pha That Luang)
พระธาตุหลวงเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนาพุทธตั้งอยู่ที่เมืองเวียงจันทน์ ถูกสร้างขึ้นโดยบุรีจันอ้วยล้วย หรือพระเจ้าจันทบุรีศักดิ์ เจ้าผู้ครองนครเวียงจันทน์พระองค์แรก ตามตำนานเล่าว่า มีพระภิกษุลาวจำนวน 5 รูป เดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดีย แล้วนำพระอุรังคธาตุ (กระดูกส่วนที่เป็นหน้าอก) มาไว้ที่เวียนจันทน์ เจ้านครในสมัยนั้นจึงสั่งให้มีการสร้างพระธาตุขึ้นมาเพื่อบรรจุพระอุรังคธาตุไว้สำหรับกราบไหว้บูชา เริ่มแรกนั้นพระธาตุถูกสร้างด้วยหิน แต่ต่อมามีการสร้างเจดีย์ครอบองค์พระธาตุ และบริเวณรอบ ๆ องค์พระธาตุมีเจดีย์รายล้อมหลายองค์ ที่เจดีย์ถูกแกะสลักเป็นลวดลายพญานาค พระพุทธรูปปิดทองลายกลีบบัวประดับอยู่บนฐานปักษ์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรูปทรงของพระธาตุมีลักษณะคล้ายกับป้อมปราการ เพราะมีระเบียงล้อมรอบสูง สถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นปูชนียสถานที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อคนลาวมากที่สุดก็ว่าได้ เสมือนเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งประเทศ
8. ปราสาทหินวัดพู (Wat Phu)
ปราสาทหินวัดพูตั้งอยู่บนเนินเขาพู ในแขวงจำปาสัก (Champasak) เป็นซากปรักหักพังของวัดฮินดูโบราณ ที่สร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 11 ถึง 13 นอกจากนี้ วัดพูยังได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกเพราะเคยเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณถึง 3 สมัยด้วยกัน ตรงทางเข้าวัดพูนั้นมีหินปูเรียงรายสำหรับเดินเข้าวัด มีเสาเรียงตั้งเรียงอยู่หลายต้นขนาบข้างทางเดิน มีเรือนใหญ่ 2 หลัง ซุ้มประตูที่พลังทลาย หินสลักเป็นรูปเศียรช้าง และรูปปั้นหินรูปต่าง ๆ เช่น โยคี จระเข้ และมีพระพุทธรูปตั้งวางสำหรับกราบไหว้บูชา บรรยากาศที่ปราสาทแห่งนี้ให้ความรู้สึกถึงความอลังการ ความขลัง ผสมผสานกับความลี้ลับ น่าพิศวง อาจด้วยความเก่าแก่ตามกาลเวลา อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันถูกใช้เป็นสถานที่ทางพุทธศาสนานิกายเถรวาท
9. ถ้ำปากอู (Pak Ou)
ถ้ำปากอู หรือถ้ำติ่ง อยู่ในแขวงหลวงพระบาง (Laung Prabang) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง นักท่องเที่ยวต้องนั่งเรือจากตัวเมืองในหลวงพระบางประมาณ 25 นาที เมื่อมาถึงบ้านปากอู ต้องนั่งเรือข้ามฝากมาฝั่งตรงข้ามจะพบถ้ำติ่ง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ถ้ำ คือ ถ้ำติ่งลุ่ม และถ้ำติ่งเทิ่ง เมื่อลงมาจากเรือจะพบทางเข้าถ้ำติ่งลุ่ม เป็นถ้ำที่มีโพรงไม่ลึก ภายในมีหินงอกหินย้อย และมีรูปปั้นพระพุทธรูปที่ทำจากไม้เต็มไปหมด เชื่อกันว่าในสมัยก่อนเคยถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับสักการบูชาดวงวิญญาณ ภูตผี แต่เมื่อศาสนาพุทธเข้ามาในลาวจึงกลายเป็นศาสนสถานทางพุทธไป และเมื่อเดินไปอีกทางหนึ่งจะพบถ้ำเทิ่ง เป็นถ้ำที่ลึกมาก ภายในมีพระพุทธรูปเช่นกัน แต่มีจำนวนไม่มากเท่ากับถ้ำติ่งลุ่ม
10. เวียงไซ (Vieng Xai)
เวียงไซเป็นเมืองหนึ่งในแขวงหัวพัน (Hua Phan) แหล่งท่องเที่ยวที่เปรียบเสมือนแม่เหล็กของเมืองเวียงไซ คือ "ถ้ำผู้นำ" เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ปกคลุมตัวต้นไม้เขียวขจี ดูแล้วก็เหมือนถ้ำทั่ว ๆ ไป แต่สิ่งที่ต้องทำให้ผู้คนตะลึง คือ ภายในถ้ำถูกขุดเจาะและสร้างเป็นที่อยู่อาศัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้องพัก ห้องรับแขก ห้องประชุม โรงเรียน โรงพยาบาล ห้องหลบภัย โรงภาพยนตร์ ห้องสำหรับเล่นกีฬา ฯลฯ ซึ่งสามารถรองรับผู้อาศัยได้ประมาณ 20,000 คน โดยถ้ำผู้นำสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสถานที่หลบภัยของแกนนำทหารคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามอินโดจีน เมื่อย้อนกลับไปสมัยนั้น สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดลงมาในลาวหลายลูกติดต่อกันเป็นเวลาถึง 9 ปี เพื่อขจัดพวกคอมมิวนิสต์ไปหมดสิ้นไป เหล่าแกนนำคอมมิวนิสต์จึงหาที่หลบภัย โดยการเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำ ทำให้มี "ถ้ำผู้นำ" ลักษณะนี้อยู่ถึง 12 แห่ง ตั้งอยู่ใกล้เคียงกันในเมืองเวียงไซ แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวชมเพียง 6 ถ้ำเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการแสดงนิทรรศการเล่าเรื่องราวความเป็นมาของเหตุการณ์ในครั้งนั้นในแง่มุมของความรักชาติ การเสียสละเพื่อชาติอีกด้วย
เมืองหลวงพระบางอยู่ทางตอนเหนือของประเทศลาว และถูกขนาบไปด้วยแม่น้ำคานและแม่น้ำโขง เมืองนี้จัดว่าเป็นเมืองที่มีเสน่ห์น่าหลงใหล เพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัดวาอารามเก่าแก่ มีบ้านเรือนที่มีสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียน บรรยากาศในเมืองเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม จึงไม่น่าแปลกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรกดโลก ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก โดยสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ เช่น วัดใหม่สุวันนะพูมาราม พระธาตุจอมพูสี น้ำตกตาดกวางสี และวัดวิชุน ฯลฯ
2. แม่น้ำโขง (Mekong River)
แม่น้ำโขงเป็นแม่น้ำที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีความยาวถึง 4,350 กิโลเมตร ประเทศลาวเองก็มีพรมแดนติดแม่น้ำโขงด้วยเช่นกัน และใช้แม่น้ำโขงสำหรับสัญจรไปมาอีกด้วย ทัศนียภาพตลอดแนวริมฝั่งนั้นสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนลาว และความงดงามทางธรรมชาติ อากาศที่บริสุทธิ์ ทำให้ทริปล่องแม่น้ำโขงนั้นเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยจุดเริ่มต้นเส้นทางเริ่มที่เมืองห้วยทรายและสิ้นสุดที่เมืองหลวงพระบาง หรือจะออกเดินทางจากหลวงพระบาง-ห้วยทรายก็ได้
3. วังเวียง (Vang Vieng)
วังเวียงเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ตั้งอยู่ในเมืองวังเวียง ริมแม่น้ำซอง อยู่ห่างจากเมืองหลวงเวียงจันทน์ 150 กิโลเมตร ตัวเมืองถูกล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ ด้วยลักษณะภูมิประเทศเช่นนี้ทำให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่งดงามไปด้วยธรรมชาติ มีทัศนียภาพอันงดงามของทิวเขาที่วางสลับตัวกัน เหมาะจะไปสูดอากาศบริสุทธิ์ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวลาวในชนบท เช่น เผ่าลาวสูง, ลาวเทิง, ลาวม้ง และไทลื้อ ส่วนกิจกรรมที่น่าสนใจประกอบด้วย เดินทางไกลชมป่าไม้ ปีนเขา ชมถ้ำ และล่องห่วงยางเล่นบนแม่น้ำซอง ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวเป็นจำนวนมาก จึงมีที่พัก ร้านอาหาร ร้านอินเทอร์เน็ต ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยวเปิดให้บริการอย่างคึกคัก
4. สี่พันดอน (Si Phan Don )
สี่พันดอน แปลว่า สี่พันเกาะนั่นเอง เป็นหมู่เกาะที่อยู่บริเวณแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของประเทศลาว ก่อนที่จะไหลเข้าเขตประเทศกัมพูชา ชาวบ้านแถบนี้ประกอบอาชีพประมงเป็นส่วนใหญ่ และยังคงดำรงชีวิตแบบชาวชนบท มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย เป็นเขตที่ค่อนข้างสงบทีเดียว จุดท่องเที่ยวหลัก ๆ มีอยู่ 3 แห่ง คือ ดอนคง ดอนคอน และดอนเด็ด สำหรับดอนคงเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่การพักผ่อนแบบชิล ๆ สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ ชมความงามของธรรมชาติ สำหรับดอนคอนและดอนเด็ดเป็นเกาะที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาค่อนข้างมาก จึงมีที่พักเปิดให้บริการกับผู้คนที่แวะเวียนมาเยี่ยมชมธรรมชาติที่นี่ ที่สำคัญราคาที่พักไม่แพงเลย
5. ทุ่งไหหิน (Plain of jar)
6. วัดเชียงทอง (Wat Xieng Thong)
วัดเชียงทองตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองหลวงพระบาง มีการออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมแบบล้านนา และได้รับการยกย่องจากนักโบราณคดีว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในลาว จนทำให้มีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต่างพากันมาชื่นชมความงามนี้ด้วยสายตาของตัวเอง นอกจากจะมีรูปทรงที่สวยงามแล้ว ยังเป็นศาสนสถานที่ทรงคุณค่าทางจิตใจของชาวลาว ทั้งนี้ วัดเชียงทองถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1560 โดยพระโพธิสารเจ้า มีฐานะเป็นวัดหลวง จึงทำให้มีการดูแลปฏิสังขรณ์เป็นอย่างดี ภายในวัดเชียงทองประกอบไปด้วยพระอุโบสถ พระประธาน วิหารน้อย โรงเมี้ยนโกศ ซึ่งมีการประดับตกแต่งด้วยศิลปะแบบหลวงพระบางแท้ ๆ
7. พระธาตุหลวง (Pha That Luang)
8. ปราสาทหินวัดพู (Wat Phu)
ปราสาทหินวัดพูตั้งอยู่บนเนินเขาพู ในแขวงจำปาสัก (Champasak) เป็นซากปรักหักพังของวัดฮินดูโบราณ ที่สร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 11 ถึง 13 นอกจากนี้ วัดพูยังได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกเพราะเคยเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณถึง 3 สมัยด้วยกัน ตรงทางเข้าวัดพูนั้นมีหินปูเรียงรายสำหรับเดินเข้าวัด มีเสาเรียงตั้งเรียงอยู่หลายต้นขนาบข้างทางเดิน มีเรือนใหญ่ 2 หลัง ซุ้มประตูที่พลังทลาย หินสลักเป็นรูปเศียรช้าง และรูปปั้นหินรูปต่าง ๆ เช่น โยคี จระเข้ และมีพระพุทธรูปตั้งวางสำหรับกราบไหว้บูชา บรรยากาศที่ปราสาทแห่งนี้ให้ความรู้สึกถึงความอลังการ ความขลัง ผสมผสานกับความลี้ลับ น่าพิศวง อาจด้วยความเก่าแก่ตามกาลเวลา อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันถูกใช้เป็นสถานที่ทางพุทธศาสนานิกายเถรวาท
9. ถ้ำปากอู (Pak Ou)
ถ้ำปากอู หรือถ้ำติ่ง อยู่ในแขวงหลวงพระบาง (Laung Prabang) ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง นักท่องเที่ยวต้องนั่งเรือจากตัวเมืองในหลวงพระบางประมาณ 25 นาที เมื่อมาถึงบ้านปากอู ต้องนั่งเรือข้ามฝากมาฝั่งตรงข้ามจะพบถ้ำติ่ง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ถ้ำ คือ ถ้ำติ่งลุ่ม และถ้ำติ่งเทิ่ง เมื่อลงมาจากเรือจะพบทางเข้าถ้ำติ่งลุ่ม เป็นถ้ำที่มีโพรงไม่ลึก ภายในมีหินงอกหินย้อย และมีรูปปั้นพระพุทธรูปที่ทำจากไม้เต็มไปหมด เชื่อกันว่าในสมัยก่อนเคยถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับสักการบูชาดวงวิญญาณ ภูตผี แต่เมื่อศาสนาพุทธเข้ามาในลาวจึงกลายเป็นศาสนสถานทางพุทธไป และเมื่อเดินไปอีกทางหนึ่งจะพบถ้ำเทิ่ง เป็นถ้ำที่ลึกมาก ภายในมีพระพุทธรูปเช่นกัน แต่มีจำนวนไม่มากเท่ากับถ้ำติ่งลุ่ม
10. เวียงไซ (Vieng Xai)
เวียงไซเป็นเมืองหนึ่งในแขวงหัวพัน (Hua Phan) แหล่งท่องเที่ยวที่เปรียบเสมือนแม่เหล็กของเมืองเวียงไซ คือ "ถ้ำผู้นำ" เป็นถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ปกคลุมตัวต้นไม้เขียวขจี ดูแล้วก็เหมือนถ้ำทั่ว ๆ ไป แต่สิ่งที่ต้องทำให้ผู้คนตะลึง คือ ภายในถ้ำถูกขุดเจาะและสร้างเป็นที่อยู่อาศัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้องพัก ห้องรับแขก ห้องประชุม โรงเรียน โรงพยาบาล ห้องหลบภัย โรงภาพยนตร์ ห้องสำหรับเล่นกีฬา ฯลฯ ซึ่งสามารถรองรับผู้อาศัยได้ประมาณ 20,000 คน โดยถ้ำผู้นำสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสถานที่หลบภัยของแกนนำทหารคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามอินโดจีน เมื่อย้อนกลับไปสมัยนั้น สหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดลงมาในลาวหลายลูกติดต่อกันเป็นเวลาถึง 9 ปี เพื่อขจัดพวกคอมมิวนิสต์ไปหมดสิ้นไป เหล่าแกนนำคอมมิวนิสต์จึงหาที่หลบภัย โดยการเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำ ทำให้มี "ถ้ำผู้นำ" ลักษณะนี้อยู่ถึง 12 แห่ง ตั้งอยู่ใกล้เคียงกันในเมืองเวียงไซ แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวชมเพียง 6 ถ้ำเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการแสดงนิทรรศการเล่าเรื่องราวความเป็นมาของเหตุการณ์ในครั้งนั้นในแง่มุมของความรักชาติ การเสียสละเพื่อชาติอีกด้วย
การเพาะเลี้ยงปลาตะเพียนขาว
การเพาะพันธุ์ ได้มีการเพาะพันธุ์ปลาตะเพียนขาวในบ่อครั้งแรกในประเทศไทยที่สถานีประมง (บึงบอระเพ็ด) จังหวัดนครสวรรค์ ก่อนปี 2503 ต่อมาได้พัฒนาจนถึงขั้นเพาะพันธุ์ออกจำหน่ายได้ที่สถานีประมงจังหวัดเชียงใหม่ จากนั้นก็ได้มีการพัฒนาการเพาะพันธุ์แบบช่วยธรรมชาติ โดยการฉีดฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง และถึงขั้นการผสมเทียมตามลำดับ จนกระทั่งแพร่หลายไปทั่วทุกสถานีประมงและฟาร์มเอกชนทั่วไป การเพาะพันธุ์ปลาตะเพียนขาวนั้นอาจแบ่งออกเป็นขั้นตอนต่างๆ คือ
การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาตะเพียนขาว เพื่อใช้ในการเพาะพันธุ์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการได้พ่อแม่พันธุ์ที่ดีนั้นย่อมมีผลกระทบกระเทือนที่จะได้ปริมาณลูกปลาที่รอดตายสูง โตเร็ว และแม้กระทั่งลดค่าใช่จ่ายในการเลี้ยงลงได้ด้วยในการเลี้ยงปลาเพื่อให้ได้พ่อแม่พันธุ์ที่ดีนั้น มีปัจจัยสำคัญที่ควรกล่าวถึง คือ
1. บ่อ แม้จะยังไม่มีการทดลองว่าบ่อขนาดเท่าใดจะพอเหมาะในการเลี้ยงปลาตะเพียนขาว แต่ก็มีแนวทางที่จะพิจารณาว่าบ่อขนาดเท่าใด จำนวนเท่าใดจะเหมาะสม เช่น
-ความสะดวกในการจับพ่อแม่พันธุ์ขึ้นมาทำการเพาะพันธุ์แต่ละครั้ง
-บ่อขนาดใหญ่ที่เลี้ยงพ่อแม่พันธุ์มาก หากจับบ่อยครั้งพ่อแม่พันธุ์อาจได้รับความกระทบกระเทือน บอบช้ำ ส่งผลถึงการเพาะพันธุ์ไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
-หากบ่อกว้างมากจะยังผลให้ต้องใช้แรงงานในการจับมากได้มีผู้ให้ความเห็นพอจะสรุปได้ ดังนี้
1. บ่อพ่อแม่ปลาควรมีขนาด 800-8,000 ม.2 และความลึก 1.5-2.5 เมตร
2. ถ้าต้องการเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์จำนวนมากเพื่อใช้ในการเพาะพันธุ์ ไม่ควรเลี้ยงรวมกันในบ่อใหญ่ แต่ควรแยกเลี้ยงในบ่อเล็กหลายๆ บ่อ
3. จำนวนบ่อมากน้อยเท่าใด ขึ้นอยู่กับปริมาณพ่อแม่พันธุ์เป็นเกณฑ์ และควรพิจารณาปริมาณจำนวนตัวผู้ซึ่งปกติใช้จำนวนมากกว่าตัวเมียคือ ประมาณ 2:1 อยู่แล้วเนื้อที่ที่จะเลี้ยงและจำนวนบ่อทั้งหมด คำนวณจาก 4 ม.2/ตัว
4. จากเอกสารการปรับปรุงแหล่งประมงน้ำลึก ใช้บ่อขนาด 27 X 100 X 1.5 ม. เป็นบ่อพ่อแม่พันธุ์
5. บ่อพ่อแม่พันธุ์ขนาดควรจะเล็กใหญ่เท่าใดนั้น ควรพิจารณาจากขนาดของกิจการ ชนิดของปลา ความสะดวกในการจับมาเพาะพันธุ์ ฯลฯ ส่วนความลึกของบ่อนั้นควรอยู่ในระหว่าง 1.5-2.5 ม.
2. น้ำและการถ่ายเทน้ำ ในบ่อเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลาควรได้มีการนำน้ำที่มีคุณสมบัติมาใช้ นอกจากนี้การถ่ายเทน้ำปอยๆ จะช่วยกระตุ้นให้อวัยวะสืบพันธุ์เติบโตเร็วขึ้น และการเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์กับความถี่ในการถ่ายเทน้ำ นอกจากนี้การลดและเพิ่มระดับน้ำตามจังหวะที่เหมาะสม ก็เป็นการช่วยให้อวัยวะสืบพันธุ์เติบโตเร็วขึ้นเช่นเดียวกับน้ำฝน น้ำท่วม และกระแสน้ำ ย่อมมีอิทธิพลต่อการเจริญของอวัยวะสืบพันธุ์ไปพร้อมกันด้วย
เกี่ยวกับการส่งน้ำเข้าบ่อและระบายน้ำออกนั้น มีข้อที่น่าสังเกตและการพิจารณาได้ เช่น หากเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ในบ่อเดียวกัน ปลาอาจผสมพันธุ์กันเองตามธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูผสมพันธุ์ และในจังหวะที่มีการถ่ายเทน้ำเข้าบ่อ การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์แยกบ่อกันจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้หากมีบ่อเพียงพอ
3. ความหนาแน่นของปลาหรืออัตราปล่อยปลาทุกชนิด ถ้าปล่อยลงบ่อเลี้ยงจนหนาแน่นเกินไป จะทำให้การเจริญเติบโตของอวัยวะสืบพันธุ์ไม่ดี เนื่องจากปลาจะกลั่นและปลดปล่อยสารต่างๆ ลงน้ำ สารดังกล่าวมีคุณสมบัติช่วยระงับมิให้มีการสืบพันธุ์วางไข่ขึ้น ปัจจัยที่เกิดขึ้นภายในตัวปลาที่เกี่ยวกับสารที่ถูกขับจากฮอร์โมนแอนโดรไครน์ (endrocrine secretion) โดยเฉพาะต่อมใต้สมองที่ช่วยกระตุ้นให้ไข่แก่ และน้ำเชื้อดีจนวางไข่ และมีน้ำเชื้อดีก็ต้องได้รับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมภายนอกด้วย บทบาทของสเตอโร ฮอร์โมน (stero hormones) ที่ผลิตจากปลาเพศผู้แล้วปล่อยลงไปในน้ำจะกระตุ้นให้ปลาเพศเมียไข่แก่และวางไข่
อัตราการปล่อยพ่อ-แม่พันธุ์ที่เลี้ยงในบ่อ เพื่อเตรียมใช้ในการผสมพันธุ์นั้น ได้มีผู้ไห้ความเห็นที่แตกต่างกัน เช่น ในเนื้อที่ 1 ไร่ ควรปล่อย
-8 ม.2/ตัว
-3-4 ม.2/ตัว
เห็นว่าการพิจารณาปริมาณปลาที่จะปล่อยเพื่อเลี้ยงเป็นพ่อ-แม่พันธุ์นั้น ควรจะพิจารณาจาก
-สภาพของบ่อและระบบของน้ำที่ใช้เลี้ยง
-ขนาดหรือน้ำหนักของปลาที่ปล่อย
วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2558
ประโยชน์ของการนอนเร็วก่อน 4 ทุ่ม
ถ้าปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตมาเป็นคนนอนเร็วขึ้น ก่อน4 ทุ่มก็จะช่วยให้มีสุขภาพดีขึ้นถึง 9 ประการ
1. สมองสร้างเคมีฯที่มีประโยชน์กับอวัยวะ
ต่างๆของร่างกาย สมองเป็นส่วนสำคัญในการแจกงานให้อวัยวะต่าง ๆ แม้แต่เวลานอนก็ยังทำให้ร่างกายได้รับ เคมีนิทรา (เมลาโทนิน), เคมีสุข (ซีโรโทนิน),ฮอร์โมนเพศและเคมีหนุ่มสาว(โกรทฮอร์โมน)แถมยังมีเคมีบำรุงออกมาควบคุมระบบในตัวเราให้ทำงานราบรื่น ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น ทำให้ดูอ่อนเยาว์ สร้างเกราะป้องกันอาการป่วยได้ด้วย
2. สมองมีความจำดีขึ้น
การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่า คนที่นอนหลับได้แค่ราว 4 ชั่วโมงต่อคืน ติดต่อกันนาน ๆ มีผลต่อความจำและสมาธิมากขึ้น นั่นก็เพราะเวลาเรานอน สมองจะมีกลไกช่วยจัดระเบียบคล้ายกับการแยกอีเมลขยะออกไป แต่ถ้าเราอดนอน เราจะรู้สึกมึน ลืมง่าย หรือไม่ก็ลิ้นพันกัน คิดอย่างพูดอย่าง
การศึกษาจากสมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (APA) ระบุว่า คนที่นอนหลับได้แค่ราว 4 ชั่วโมงต่อคืน ติดต่อกันนาน ๆ มีผลต่อความจำและสมาธิมากขึ้น นั่นก็เพราะเวลาเรานอน สมองจะมีกลไกช่วยจัดระเบียบคล้ายกับการแยกอีเมลขยะออกไป แต่ถ้าเราอดนอน เราจะรู้สึกมึน ลืมง่าย หรือไม่ก็ลิ้นพันกัน คิดอย่างพูดอย่าง
3. คุมความดันโลหิตได้ การนอนหลับเร็ว จะช่วยให้ระบบประสาทอัตโนมัติทั้งหลาย และกลไกทางชีววิทยาที่เป็นเหมือนฟันเฟืองขนาดจิ๋วทำงานซับซ้อนช่วยควบคุมหัวใจ และความดันโลหิตให้สงบลง ไม่แกว่งขึ้นลงง่ายเหมือนกับตอนตื่นนอน
4. ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนสึกหรอ
การนอนไวช่วยซ่อมแซมร่างกายที่สึกหรอ ช่วยให้สมองได้พักผ่อน กล้ามเนื้อคลาย ตัว หัวใจสงบขึ้น ความดันลดลง
5. ได้ล้างพิษ เวลาที่เรานอนจะเป็นช่วง เวลาที่อวัยวะอย่าง ตับ ไต ลำไส้ ซึ่งเป็นอวัยวะที่ช่วยล้างพิษทำงานได้ดีขึ้น
6. ไม่อ้วนง่าย การนอนเร็วช่วยคุมน้ำหนัก ตัวได้ดีกว่า อีกทั้งยังกระตุ้นเตาเผาใน ร่างกายให้ทำงานได้ดี ช่วยให้ไม่อ้วนง่าย ไม่สร้างเคมีเก็บไขมันมากด้วย
7. มีสุขภาพดีขึ้นถ้าเรานอนให้เร็วขึ้น เรา จะได้นอนอย่างเต็มอิ่ม ร่างกายและสมอง ได้พักผ่อน ความจำดี มีสมาธิ มองอะไร ก็มีความสุขได้ง่ายขึ้น
8. โรคไม่กำเริบ การนอนไวไม่เสี่ยงต่อ
โรค กำเริบโดยเฉพาะโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันสูง เบาหวาน ภูมิแพ้ โรคเครียดซึมเศร้า และโรคมะเร็ง
9. ชะลอความแก่ นอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะ แค่นอนก็ช่วยเสริมสร้างความหนุ่มสาว และช่วยให้หลับสนิททั้งหลายไม่ทำร้ายร่างกายก่อนวัยอันควร จึงป้องกันความเสื่อมชรา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)